จัดเต็มกับ Book Expo 2011

bookexpo2011.jpg (1000×482)

     จริงๆผมไม่ได้มาโฆษณานะครับก่อนจะเข้าใจผิด งานหนังสือจริงๆมีหลายชื่อแต่ถึงจะมีหลายชื่อและมีหลายงานจุดประสงค์หลักก็เหมือนกันครับคือ "ไปซื้อหนังสือ" แฮ่
     ผมจำไม่ได้แล้วว่างานหนังสือคราวที่แล้วซื้อมากี่เล่มจำได้แต่ว่าบางเล่มยังอ่านไม่จบเลย (เช่น with the old breed เป็นต้น) นั่นทำให้ผมตรัสรู้ว่าการซื้อหนังสือเล่มใหญ่ๆนั้น เท่ากับเราแบกภาระอันใหญ่หลวงตามมาอีกด้วยเช่นกัน ผมเลยเปลี่ยนอุดมการณ์ใหม่ !! ใหญ่ไม่ชอบ ชอบเล็กๆ (แต่ต้องอยากอ่านด้วยนะ) นั่นทำให้งานปีนี้ผมตัดหนังสือออกจากลิสต์ได้หลายเล่มเลย (เช่น นิยายของทอม แคลนซี่ เล่มใหม่ที่กะจะซื้อปีที่แล้ว กับ หนังสือเกี่ยวกับ Band of Brother) อีกเล่ม
   
     การเตรียมตัวไม่มีอะไรมาก จะไปซื้อหนังสือต้องมีเป้อย่างน้อยหนึ่งใบ และรองเท้าเดินสบายก็รองเท้าผ้าใบนั่นแหละ ครั้งนี้ตัดสินใจไปวันพฤหัสที่ 6 เพราะเป็นวันธรรมดาคนไม่น่าจะเยอะ (ในสมมติฐาน) แต่พอไปถึงงานจริงๆ คนเยอะมากโดยเฉพาะบู๊ทของ a book นี่แทบจะแทรกไปไม่ได้เลย ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลให้การไปงานในครั้งนี้ไม่ได้หนังสือของ a book ติดมือมาแม้แต่เล่มเดียวหรืออีกที่ๆคนเยอะไม่แพ้กันก็คงจะแจ่มใสซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิมว่านิยายของสำนักพิมพ์นี้ทำไมคนถึงอ่านเยอะจัง เกริ่นมามากเกินไปละมาดูเลยดีกว่าว่าปีนี้ไปสอยอะไรมาได้บ้าง


     ผมไม่รู้ว่าจะนิยามคำว่าเยอะจากอะไรจากความหนา จากจำนวนหน้า หรือจากขนาดเอะยังไง แต่ผมว่ารอบนี้ผมซื้อไม่เยอะถ้าเทียบกับรอบที่แล้วถ้าดูในภาพรวม อาจะเป็นเพราะอย่างที่ว่าไว้ข้างบนคือ "การซื้อหนังสือเล่มใหญ่ มาพร้อมกับภาระที่ใหญ่ยิ่ง" เห็นมั้ยครับแม้แต่สไปเดอร์ แมนก็ยังต้องอ่านหนังสือ มาดูทีละเล่มเลยดีกว่า

         

     สองเล่มแรกที่ตัดสินใจซื้อคือ "เจไอคืออะไร" กับ หนังสือชื่อยาวจนขี้เกียจพิมพ์แต่แนวเดียวกัน และสำนักพิมพ์เดียวกัน (openbooks) เหตุผลเพราะว่าติดกับการไปเดินดูสำนักพิมพ์นี้แทบทุกครั้งและต้องได้สอยมาซักเล่ม เห้ยไม่ใช่ผมต้องการศึกษาเรื่องนี้จริงๆ และการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมันก็ช่างยากเหลือเกิน ก็เลยเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มีทรัพยากรทางความรู้ไว้ครอบครองบ้าง

ยุทธการอนาคอนด้า

     มันแทบจะเป็นทำเนียมปฏิบัติไปแล้วว่าการไปงานหนังสือครั้งที่ผ่านๆมา จะต้องได้หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางทหารมาซักเล่ม ตัวอย่างก่อนหน้านี้เช่น With the Old Breed , Band of Brothers อะไรประมาณนี้ซึ่งครั้งนี้ที่ไปมีตัวเลือกสองตัวคือ Beyond Band of Brothers กับหนังสือข้างบนนั่นแหละ แต่แล้วก็ตัดสินใจซื้อมาเพราะอยากรู้รายละเอียดมากขึ้นและอยากหนีสงครามโลกครั้งที่สองที่เริ่มอ่านและดูจนเอียนแล้ว Operation Anaconda มีเหตุการณ์เด่นๆ คือ Fate of Chapman and Roberts ซึ่งถูกนำไปดัดแปลงเป็นส่วนหนึ่งของเกมส์ Medal of Honor และภาพยนต์เรื่อง Lions for Lambs ถ้าหากจะถามผมว่าทำไมถึงชอบอ่านประวัิติศาสตร์ (สงคราม) ผมก็คงตอบว่าเพราะมันเหมือนจริงกว่านิยายหละมั้ง


     เล่มนี้ไปเจอโดยบังเอิญครับอีกทำเนียมนึงของผมสำหรับงานหนังสือแทบทุกครั้งคือการลุยร้านหนังสือเก่าครับ การที่เราได้อ่านหนังสือเก่าๆ ไม่ได้เป็นการล้าสมัยเลยถ้าหากคุณลองอ่านคุณจะแปลกใจว่า แนวความคิดในสมัยก่อนนั้นน่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว ตอนไปดูร้านนี้ (จำชื่อไม่ได้แล้ว) เห็นสตาร์วอร์เป็นอย่างแรก แต่ดูแล้วถ้าไปอ่านมันก็คงจะขาดๆเกินๆ เลยตัดสินใจหยิบทรอนขึ้นมานี่แหละ หนังก็ดูแล้ว แถมจบในภาคเดียวด้วย (ถ้าไม่นับที่เพิ่งสร้าง) ก็ไม่น่าจะเยิ่นเย้อมากจนเกินไปแถมชื่อแนว Electronics Science Fiction ก็กินขาดแล้ว (หรือว่าผมเริ่มเบื่อทหารแล้วเพราะคราวที่แล้ว Tom Clancy สองเล่มเลย)
หนังสือน่าอ่าน > อยาก.. ช่วยตัวเอง - - 9 กระบวนท่าไล่ล่าความฝัน

     ขอสารภาพครับเหตุผลแรกที่หยิบหนังสือเล่มนี้เพราะหน้าปกมันเตะตาครับ !! แถมบู๊ทสำนักพิมพ์นี้ (i can ) ก็เงียบเป็นป่าเลยก็เลยตัดสินใจเข้าไปดูซะหน่อย
     เปิดมาข้างในเจอ quiz เลยครับ "คุณช่วยตัวเองมากแคไหน" มันเสื่อมแน่ๆ แต่ไม่เสื่อมเหมือนหน้าปกครับ เป็นหนังสือประมาณ How to ประสบความสำเร็จของนักเรียนทุนคนหนึ่ง (ก็คนเขียนนั่นแหละ) แค่นี้ก็ฟังดูน่าสนใจแล้วใช่มั้ยครับ ซึ่งผมว่าน่าจะคุ้มตังค์กว่าเอาไปซื้อ "ทุนเรียนดีมีอยู่ทั่วโลก" อะไรประมาณนั้น (แรงไปมั้ย) แล้วก็น่าจะอ่านสนุกกว่าด้วยที่สำคัญ เล่มนิดเดียวระดับพ็อคเกตบุ๊คเองอ่อตอนหาปกหนังสือเล่มนี้ใน google ล่อแหลมมากครับแนะนำว่าอย่าหาเลย

Book

     เล่มนี้ก็ไม่เชิงบังเอิญครับคือหนังสือเล่มก่อนๆของ 10 เดซิเบลที่ผมอ่านนั้นส่วนใหญ่ผมชอบเพราะมันเป็นแนว Matheromance (แนวอะไรของมันฟะ) ซึ่งทำให้เกิดการคาดหวังว่าเล่มนี้จะทำให้ผมอิ่มไปกับความงามของคณิตศาสตร์กับความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้อีกครั้งนับตั้งแต่อ่าน "รักหมายเลข 0" จบตั้งแต่มอหก อ่อบู๊ทของสำนักพิมพ์ Fullstop นี่ผมแวะมาหลายรอบมากตอนตัดสินใจซื้อเล่มนี้คือรอบที่สองที่เดินผ่านมาถ้าคุณอ่านต่อไปข้างล่างจะรู้เองว่าทำไมถึงหลายรอบ


     จริงผมมีหนังสือแนวนี้อีกเล่มคือ oom ฉบับเที่ยวกรุงเทพ แต่ว่าหลังจากใช้งานไปหลายครั้งทำให้ค้นพบว่าสนองความต้องการได้ไม่เพียงพอ (มันต้องมีอีกเล่ม) หนังสือเล่มนี้ตอบโจทย์ผมได้เต็มๆ เพราะนอกจากสถานที่หลักๆ ที่ควรมีในหนังสือประเภทนี้แต่ที่ผมเจอคือสายรถเมล์ครับ ตอบโจทย์ได้เต็มๆ ไม่ต้องเรียกแท็กซี่แล้วคราวหน้า

     คราวที่แล้วก็สอย The Accidentally Billionairs ไปคราวนี้ขอจริงจังขึ้นหน่อยกับการ "ตามรอย...เดลล์" ตอนแรกผมไม่เห็นหนังสือเล่มนี้และไม่ได้ชายตามองสำนักพิมพ์นี้ด้วยเพราะมีแต่เรื่อง LEAN อะไรก็ไม่รู้เต็มร้านไปหมด แต่เพราะโอกาสที่ทำให้เดินผ่านหลายรอบ (ไป Fullstop นั่นแหละ) และพอได้เปิดอ่านก็สะดุดกับประโยคที่ว่า "ผมจะแข่งกับ IBM ครับ" เลยตัดสินใจซื้อเลย

ป้ายใหญ่มากครับ แต่ถ้าไม่มองดีๆนี่ไม่เห็นเลย
เขาบอกว่าเล่มนี้ค่าซ่อมอยู่ที่ ๒๒,๐๐๐ บาท เอื๊อก
นี่ก็ปลวกกินทั้งเล่ม
     หลายคนอาจไม่รู้ครับว่างานหนังสือไม่ได้จัดขึ้นเพือให้คนไปซื้อหนังสืออย่างเดียว แต่ยังมีการให้ความรู้อย่างอื่นด้วย โดยในครั้งนี้มีนิทรรศการ "ศิลปะการชุบชีวิตหนังสือแบบ DIY" ซึ่งตอนแรกผมดูผ่านๆ แต่พอดูละเอียดก็ถึงกับต้องอุทานออกมาว่า "เห้ย จริงดิ" ตัวอย่างเช่นหนังสือที่ปลวกกินปล่อยไข่ ก็ต้องไล่หนอนออกให้หมด แล้วค่อยซ่อมใหม่ หรือบางเล่มต้องเอาไปแช่น้ำยาบางอย่างเพื่อลดสภาพความเป็นกรด หรือที่อึ้งที่สุดคือ "ห้ามซ่อมหนังสือด้วยสกอตเทป เพราะ มันเป็นกรด !!!"
รูปนี้ตั้งใจจะถ่ายบรรยากาศแต่ติด @Pugkee_mI พอดีแชะ
     ไปงานหนังสือคนเดียวก็ไม่สนุกดิ เพราะฉะนั้นเลยต้องหาขาไปด้วยคราวที่แล้วงานนี้ตกเป็นของไอเน็ตซึ่งตอนนั้นทำให้รู้จักหนังสือต่างประเทศมากขึ้นเยอะและเป็นเหตุผลให้คราวนี้แวะไปดู The Count of Monte Cristo แต่ไม่ซื้อแพงสาดและน่าจะอ่านไม่จบแน่ๆ สำหรับขาในงานหนังสือรอบนี้ตกเป็นของ @Pugkee_mI ซึ่งได้ติดมา 8 เล่มแต่คนละขนาดเลยตามภาพ
กองซ้ายของผมครับ ส่วนกองขวาของ @Pugkee_mI (Bioscope ไม่เกี่ยวนะ)
     - something sometime somewhere everyday ผมไม่ได้เปิดอ่านครับเลยไม่รู้ว่าเขาซื้อมาเพราะอะไร
     - Chocolate หนังสือว่าด้วยช็อกโกแลต ตั้งแต่ประวัติ ประเภท ฯลฯ เอาเป็นว่าเยอะ
     - The Notebook (ปาฏิหาริย์บันทึกรัก) เห็นเขาบอกว่าพิมพ์ตั้ง 21 ครั้งคงมีอะไรจริงๆแหละ
     - The Lucky One (ลิขิตฟ้าชะตารัก) Nicholas Spark อีกเล่มคงมีอะไรจริงๆ เหมือนกัน
     - Beansprout&Firehead : In the infinite madness, In the black season, The winter tales สามตอนสามเล่มแต่ไม่ได้อ่านเองนั่นอีกเรื่องนึง
     - Stories of Bobby Swingers ตัวนี้เด็ดสุดเดี๋ยวค่อยเล่า

     สุดท้ายครับเดินจนขาลากตั้งแต่เที่ยงยันสี่โมงเย็นแต่ก็สนุกครับเป้ตอนแรกเอาไปแฟ็บๆ ขากลับนี้ยังกะแบกเต่าไว้ทั้งตัว งานหนังสือมีคราวหน้าเดือนไหนไม่รู้ครับ รู้แต่ว่ามีหนังสือ 8 เล่มที่ต้องอ่านให้จบระหว่างนี้แต่ไม่ว่าจะอ่านหรือไม่อ่าน ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่งานหนังสือก็เป็นงานสำหรับทุกคน ทุกๆคนมีสิทธิที่จะอ่านหนังสือที่ตัวเองอยาก และหนังสือก็มีแทบทุกแนวสำหรับทุกคน ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการอ่านทุกวัน พร้อมๆกับการปลดทุกข์ไปด้วยนะครับ

Comments

Anonymous said…
ดีมากเลยฮะ