ค่ายพี่สอนน้อง ตอนที่ 1



     มันเป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งตั้งแต่ผมเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วว่า ผมต้องทำค่ายให้ได้สักครั้งหนึ่งตอนที่กำลังเรียนอยู่มหาลัย ตอนอยู่ปีหนึ่งโอกาสในการได้ทำค่ายครั้งแรกก็มาถึงตอนช่วงเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว ซึ่งก็คือค่ายแนะแนวการศึกษาครั้งที่ 3 ที่จัดโดยกลุ่มเรารักษ์อีสานใต้ หรือชื่ออย่างไม่เป็นทางการคือ BP@KMITL ความจริงก็คือค่ายนี้คือค่ายของกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเก่าที่มาเรียนที่สถาบันเดียวกัน แต่เนื่องจากตอนปีหนึ่งผมเลือกที่จะเป็นนักกีฬามหาลัยด้วย และตอนช่วงที่จะมีการจัดค่าย มีการแข่งขันกีฬาที่ขอนแก่นพอดีทำให้ผมพลาดโอกาสในการทำค่ายครั้งนี้ไป (และการแข่งที่ขอนแก่นด้วย เช่นกัน)

     พอมาถึงปีนี้โอกาสมาถึงอีกครั้งแม้จะฉุกละหุกหน่อยเพราะ เพิ่งประชุมกันก่อนสอบปลายภาคแค่สัปดาห์เดียว แต่ในเมื่อตกลงรับงานแล้วค่ายจึงเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิดกลายเป็น "ค่ายพี่สอนน้อง" หรือค่ายแนะแนวการศึกษาครั้งที่ 4 แต่แล้วงานในการเตรียมการก็ต้องหยุดชะงักไปเนื่องจากภาระการสอบปลายภาคเป็นเวลาสองอาทิตย์

     พอสอบปลายภาคเสร็จวันที่ 30 ก.ย. มีเวลาเตรียมการอยู่ 5 วันตามเป้าที่วางไว้ก่อนสอบปลายภาคว่าจะต้องทำทุกอย่างให้เสร็จ แล้วจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนไปเจอกันที่ค่ายในวันที่ 9 ต.ค. ห้าวันที่เตรียมไว้เลยได้กลายเป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตและการสอบปลายภาคที่ผ่านมาแทบจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย



     การเตรียมงานมีตั้งแต่การซ้อมสันทนาการ ซึ่งกระทำกันอย่างหนักหน่วงโดยใช้เวลาในช่วงบ่ายของสองวันในห้าวันนั้น การจัดเตรียมเอกสารประกอบการสอนซึ่งเป็นงานที่ผมเป็นคนรับผิดชอบโดยแต่ละคนจะรู้ว่าเนื้อหาที่ตัวเองสอนคือเรื่องอะไรเสร็จแล้วงานของผมคือการรวบรวมออกมาและจัดเรียงให้ได้หน้าน้อยที่สุดเพื่อประหยัดค่ากระดาษ (ซึ่งทางโรงเรียนแบกให้) ซึ่งตอนแรกเหมือนจะเป็นงานที่ไม่ลำบากอะไรแต่พอเวลาผ่านไปมันเป็นงานที่หนักที่สุดงานหนึ่งเพราะแต่ละคนก็จะทำคนละแบบ ทั้งยังส่วนประกอบไม่ว่าจะเป็นภาพและสูตร ทำให้การรวบรวมเป้นงานที่ยากกว่าที่คิด แต่ก็ใช้เวลาประมาณสี่วันถึงจะได้เวอร์ชั่นที่สมบูรณ์พร้อมใช้ รวมถึงการซ้อมกิจกรรมบายศรีซึ่งต้องร้องเพลงได้แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไรจากการจำลองสถานการณ์

     นอกจากการเตรียมการดังกล่าวข้างต้น งานที่ต้องทำอีกอย่างก็คือการไปขอรับบริจากโดยการไปถือกล่องยืนตะโกนเรื่องค่ายอยู่ตามจุดต่างๆ ในที่นี้คือหน้าสถานีรถไฟใต้ดินซึ่ง เป็นงานที่เหนื่อยมากระดับนึงเลยทีเดียว แต่พอได้เงินมาประมาณค่าเทอมผมก็เรียกได้ว่าหายเหนื่อยไประดับนึงเลย
     เสร็จจากเตรียมค่ายห้าวันคือวันที่ 6 ผมก็เลยตัดสินใจไปงานหนังสือซึ่งช่วยทำให้ลืมภาระงานที่จะต้องพบเจอในสัปดาห์ข้างหน้าไปวันนึงพร้อมทั้งเติมเชื้อเพลิงในตัวด้วย
     วันที่ 8 ต.ค. เดินทางออกจากกรุงเทพตอนนั้นสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มมีให้เห็นกับตาแล้วในแถบลาดกระบังโดยระหว่างนั่งรถกลับมาต้องเจอน้ำท่วมระดับตาตุ่ม พร้อมกับฝนตกอย่างหนักในช่วงสระบุรี แต่ก็เดินทางกลับมาถึงบุรีรัมย์ด้วยดี นอนบ้านเพื่อนคืนนึงเพื่อเตรียมตัวไปค่ายในวันถัดไป

บางส่วนของชีต

     พอวันที่ 9 ต.ค. ซึ่งเป็นวันนัดหมายไปเจอกันที่่ค่ายผมก็ออกเดินทางมากับเพื่อนและพ่อแม่ของเพื่อน ไปถึงค่ายประมาณบ่ายๆ ก็มีงานทำเลยคือการเตรียมสถานที่สอนคือห้องโสตของโรงเรียน และอีกงานหนึ่งคือเตรียมชีตที่โรลไว้แล้วแต่ยังไม่รวมเล่ม ซึ่งกินเวลาไปตลอดบ่ายวันนั้น
     ผมไม่เคยมา อ.กระสัง มาก่อนเลยจินตนาการภาพไม่ออกแต่พอเดินไปหาอะไรกินตอนเย็นนี้แหละเลยคิดออกว่าเมืองนี้ทั้งเล็กและเงียบสงบมาก แต่ก็เงียบสงบมากเกินไปจนแทบหาของกินไม่ได้ สุดท้ายเลยไปกินบะหมี่หมูแดงหน้าโรงเรียน จัดไปสองชามเพราะคาดว่าคืนนี้คงไม่ได้ออกมาอีกแล้ว
     กลับมาโรงเรียนหลังจากกินข้าวเสร็จก็มีการประชุมนัดหมายกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ แล้วโดยไม่คาดคิดก็มีเซอร์ไพรซ์วันเกิดผมเองนี่แหละครับ จริงๆก็รู้กันเกือบทั้งค่ายแล้วว่าผมเกิดวันนี้แต่ที่ผมไม่คิดก็คือมันจะหาเค้กมาได้ด้วย เล่นเอาซึ้งไปหนึ่งคืนเต็มๆ

เป็นเมืองที่เงียบสงบมาก แม้กระทั่งตอนเย็นๆ

     ยังเขียนไม่ถึงเริ่มค่ายเลยไฟหมดแล้ว เดี๋ยวมาต่อกันตอนที่สองนะครับ

Comments