เขียนไม่ออก

       เป็นเรื่องธรรมดามาหลายปีแล้วสำหรับผมที่จะถามตัวเองทุกวันว่า "วันนี้จะเขียนอะไรดี" ถ้าย้อนกลับไปดูครั้งสุดท้ายที่ผมเขียนเอนทรี่ยาวๆ ก็ตั้งแต่ตอนผมเริ่มทำงานใหม่ๆ เลยคือ Burnout หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เขียนอะไรที่นี่อีกเลยมาหนึ่งเดือนเต็มๆ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ถึงแม้จะไม่มีอะไร Publish ออกมาตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาแต่ผมก็มีเอนทรี่ที่เขียนมานานมากๆ อยู่ 2 เรื่องที่ยังไม่ Publish ซึ่งน่าจะปล่อยออกมาเร็วๆ นี้

       ผมมาลองคิดถึงสาเหตุเท่าที่คิดออก ณ เวลานี้ คิดออกอยู่ 3 ข้อ ข้อแรกคือ มันยังไม่ถึงเวลาครับ หลายๆ เอนทรี่จะมีเวลาที่มันสมควรจะปล่อยออกมาเช่น ครบรอบ 1 ปี, เกรดออก บลาๆ ซึ่งส่งผลให้เอนทรี่พวกนี้มันยังปล่อยออกมาไม่ได้
       ข้อต่อมาคือ มันยังเขียนไม่เสร็จ อันนี้แน่นอนแต่สาเหตุนั้นแตกต่างกันไปเช่น ผมยังหาวิธีที่จะเขียนให้มันน่าสนใจหรือผ่านมาตรฐานของผมเองไม่ได้ หรือ เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากจนผมลังเลที่จะปล่อยมันออกมาทำให้ต้องใช้เวลาผ่านกองเซ็นเซอร์นานกว่าปกติ
       ข้อที่สามคือ ผมเปลี่ยนมือถือครับ นั่นส่งผลถึงพฤติกรรมผมโดยตรงเพราะจากที่กว่าจะเปิดเฟซบุ๊คได้ กว่าจะอัพ Instagram ได้ต้องใช้เวลานาน แต่พอเปลี่ยนจาก Optimus One ในตำนานเป็น Moto G ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปผมออนไลน์ 24/7 ได้ครั้งแรกในรอบหลายปี (นับตั้งแต่ True เปลี่ยนความถี่ EDGE) ทำให้พอมีเรื่องอะไรผ่านเข้ามาในชีวิต ก็มักจะไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเหมือนแต่ก่อน หากแต่โพสให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยสติปัญญาที่คิดออกในเวลานั้น
       แล้วผมลองย้อนกลับไปดูว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมเขียนอะไรยาวๆ เกินระดับปกติบ้าง ผมไปเจออยู่ 2 โพสและที่น่าสังเกตุก็คือ 2 โพสนั้นเกี่ยวกับหนังสือ ครับ


       BEATRICE & VIRGIL | "เริ่มแบบไม่ทันตั้งตัวและจบแบบไม่รู้ตัว" คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงไปนักสำหรับนวนิยายเล่มนี้ แรกๆ อาจจะน่าเบื่อ จริงๆ ผมว่าเนื้อเรื่องมันก็จะดำเนินการแบบ "น่าเบื่อๆ" ตลอดทั้งเล่ม การดำเนินเรื่องอาจจะไม่เร้าใจผมอาจจะไม่เคยอ่าน Life of Pi แต่สารที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนมาก และเราไม่อาจตระหนักได้เลยว่ามันแทบจะแทรกอยู่กับตัวอักษรทุกตัว คำทุกคำ บทสนทนาทุกประโยคระหว่างเวอร์จิลกับเบียร์ทริซ ที่บรรจุอยู่ในนวนิยายเล่มนี้ ขอบคุณนวนิยายนี้ที่ทำให้ผมตระหนักอีกครั้งถึง "อนุเสาวรีย์ที่ถูกลืม" ที่หลายๆ คนก็คงจะลืมไปแล้ว ในปัจจุบัน


       ในบรรดานิยาย Distopia ที่ไม่มีภาคต่อที่เคยอ่านมานั้นโดยส่วนใหญ่แล้วตัวละครหลักมักจะทำการปฏิวัติ/ต่อต้าน ระบบที่ตนเองอยู่จนล้มครืนลงไปแล้วสิ้นสุดแบบ Happy Ending ในเบื้องต้น แต่สำหรับ Maggot Moon นั้นแม่งตัดจบเลยครับ ยังไม่ทันได้ดื่มด่ำรสชาติแห่งอิสรภาพเลย หาแต่ได้เพียงลิ้มรสชาติของความสูญเสียและความเศร้าโศกที่อยู่ในระดับที่ยังคงเรียกได้ว่า "วรรณกรรมเยาวชน" อย่างไรก็ตามแม้ว่าการดำเนินเรื่องอาจจะดูเพ้อฝัน โหดร้าย และสิ้นหวังมากเพียงใด แต่อย่างน้อยสิ่งที่สแตนดิชได้ทำ ได้กล่าวหรือแม้แต่ได้คิด ก็เป็นเหมือนแสงเทียนที่คอยนำทางเราฝ่าฝันมาจนถึงบทสุดท้ายได้โดยไม่ทำร้ายจิตใจคนอ่านมากจนเกินไปนัก...

ปล. ผมเคยเชื่อว่าการมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น (อย่างน้อยตอนนี้ก็มากกว่าตอนอยู่ปี 4 ) จะทำให้สามารถเขียนอะไรได้มากขึ้น ซึ่งหลังจากเรียนจบแล้วเริ่มทำงานผมอ่านหนังสือจบไป 2 เล่มภายในเดือนเดียว ซึ่งมันอาจจะจริงก็เป็นได้ครับ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้

Comments