เรียนภาษาอังกฤษมันเป็นเรื่องของ Environment



       เมื่อวานเป็นวันแรกที่ผมไปเรียนคลาส TOEIC ของสถาบันมาครับ คลาสนี้เรียนฟรีเสียแค่ค่าสอบ 700 ซึ่ง อันที่
จริงแล้วผมเล็งจะเรียนมาตั้งแต่ต้นเทอมแล้ว แต่มัวแต่ไปทำอย่างอื่นอยู่เลยไปลงทะเบียนไม่ทันสุดท้ายเลยมาตกกับ
รอบสองซึ่งก็คือรอบนี้ แต่ถึงแม้มันจะเป็นแค่วันแรก แต่มันทำให้ผมนึกถึงอะไรหลายๆ อย่างๆ เลยทีเดียว

       อย่างแรกมักจะมีใครซักคนมาถามผมอยู่บ่อยๆ ว่าทำยังไงถึงจะเรียนภาษาอังกฤษเก่ง ผมเจอคำถามนี้มาแทบ
จะตั้งแต่อยู่ประถม ซึ่งตอนเด็กๆ ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ ตอนมัธยมก็ไม่ชัวร์ แต่พออยู่มหาลัยผมพอจะรู้คำตอบแล้ว
 จริงๆ แล้วผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษเลยนะครับ เรื่อง Grammar, Tense, Part of Speech ฯลฯ ผมไม่เคยรู้เรื่องครับ 
อันนี้สารภาพตามตรงเลย แต่ผมโตมาในครอบครัวที่ภาษาอังกฤษแทบจะอยู่รอบตัวตลอดเวลา คุณพ่อกับคุณแม่ผม
ทั้งสองท่านทำงานสถานีวิทยุ แล้วทั้งสองท่านโดยเฉพาะคุณพ่อมีรสนิยมชอบฟังเพลงสากลมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด 
ตั้งแต่จำความได้นี่ผมก็ได้ยินเพลงสากลเข้ามาในหูละ ตั้งแต่ The Beatle, Bee Gees, Carpenter, Rod Stewart 
ฯลฯ ซึ่งทำให้ตอนผมอยู่ชั้นประถมหรือมัธยมก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่ตัวเองชอบเพลงพวกนี้ ในขณะที่เพื่อนฟัง
ลาบานูน, บอดี้แสลม หรือโปเตโต้ อะไรเหล่านี้ นอกจากนั้นแล้วท่านยังเป็นคนชอบดูหนังอีกด้วย และไม่แปลกเลย
ถ้าบ้านเราจะดูหนังที่ซับเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็บ่อยครั้งมาก
       พอขึ้นมัธยมจำได้ว่าตอนมัธยมต้นช่วงนั้นกระแสเกาหลีมาแรงมาก ผมไม่เคยสนเลยครับอาจจะเป็นเพราะผม
เป็นผู้ชายด้วยก็เลยไม่ค่อยกรี๊ดวงเกาหลีซักเท่าไร ซึ่งระหว่างนั้นผมก็เริ่มรู้จักซีรีย์เข้ามาในชีวิตเรื่องแรกๆ ที่ดูแล้วติด
น่าจะเป็น NCIS (ซึ่งปัจจุบันก็ยังฉายอยู่) Even Steven ใน Disney Channel และอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งผ่านมาในชีวิ
ผมยันเข้ามหาลัย ที่ซึ่งไร้ซึ่งทีวีส่วนตัว แต่การมีอินเตอร์เน็ตทำให้เราหาของเหล่านี้ไม่ยากเท่าไรและแน่นอนครับว่าใน
สมัยนี้หนัง mkv มันฝังซับมาให้เลย เพราะฉะนั้นแล้วการเลือกดูเสียง ENG มันได้อรรถรสกว่าฟังเสียงไทยเยอะ ซึ่งใน
ที่สุดแล้วผมก็เพิ่งมาค้นพบว่าน่าจะเป็นสิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นเหตุผลหลักที่ผมไม่เคยรู้สึกแปลกกับภาษาอังกฤษซัก
เท่าไรเลย

       ตอนผมฝึกงานที่หน่วยจะมีกฎเล็กๆ อยู่กฎหนึ่งคือไม่อนุญาตให้พูดภาษาไทยในตอนครึ่งเช้าก่อนพักเที่ยง 
ถึงแม้จะเป็นคนไทยด้วยกันก็ตาม เพราะนายอย่างให้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งผมก็ต้องทำตามไปด้วย ซึ่งแรกๆ 
ก็ยากอยู่เพราะใช้ว่าทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ถนัดเหมือนกัน แต่พออยู่ไปนานๆ ก็เริ่มชิน ผมเริ่มเรียนรู้ว่าถ้าอธิบาย
ด้วยคำพูดไม่ได้ก็ทำให้ดูเลยง่ายกว่า นอกจากนั้นแล้วในกลุ่มอินเทิร์นด้วยกันผมก็ไม่รู้ว่าใครตั้งกฎอะไรขึ้นมา 
แต่พอคุยกันวงใหญ่ในเฟสบุ๊ค ก็มักจะคุยกันด้วยภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาไทย อันนี้ก็แปลกแต่ผมว่ามันก็เจ๋งดีแหะ
       เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับทริปเกาะช้างที่ผมเพิ่งไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือภาษาอังกฤษเนี่ยถึงเราจะรู้จักได้รับมัน
มามาก แต่ถ้าไม่ได้ใช้มันก็ขึ้นสนิมได้ เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยการพาตัวเองเข้าไปหาโอกาสที่จะใช้ภาษาอังกฤษได้นับว่าเป็นการฝึกที่ได้ประสิทธิภาพมากกว่าหนังสือระดับนึงเลยทีเดียว ต้องย้อนไปถึงคุณพ่อผมก่อน คุณพ่อผมเป็นคน
ที่เรียกได้ว่าอัธยาศัยดีมาก และคุยกับคนเก่งมาก อาจจะเป็นเพราะเคยเป็นนักข่าวมาก่อน เวลาไปเที่ยวแล้วเจอฝรั่ง
ท่านชอบเข้าไปทัก เข้าไปคุยด้วยเสมอ ซึ่งตอนเด็กๆ ผมก็ไม่เคยเข้าใจว่าท่านจะเข้าไปทักทำไม แต่พอโตขึ้น ถึง
เริ่มเข้าใจว่าการที่ท่านเข้าไปทักบ่อยๆ ทำให้ท่านใช้ภาษาอังกฤษได้ดีระดับนึง หรืออาจจะทำลายกำแพงซึ่งหลาย
คนมีคือ การไม่กล้าที่จะพูดตอบโต้ กลับมาที่เกาะช้าง ผมเจอหนุ่มสาวชาวเกาหลีสองคนกำลังหลงหรืออาจจะหลง
ทางอยู่ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่เห็นแต่พอเพื่อนเรียกถึงเห็น แล้วได้คุยตอบโต้ จริงๆ แล้วมันไม่ได้ยากอะไรเลย เพราะ
ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่ภาษาหลักของ "เขา" และของ "เรา" ด้วยการสื่อสารที่ว่าสิ่งสำคัญคือจับคีย์เวิร์ดให้ได้แล้ว
พยายามเดาว่าเขาพยายามสื่ออะไร ซึ่งเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดีคือ สองคนนั้นกลับมาทางเดียวกับผมและเพื่อนจน
ถึงกรุงเทพ

       เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของหนังสือครับ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่สมัยประถม สมัยนั้นยังไม่บ้าพลังพอที่
จะไปอ่านภาษาอังกฤษเป็นเล่มๆ พออยู่มัธยมพี่ชายผมเริ่มซื้อหนังสือของเพนกวิน รีดเดอร์มาให้ส่วนใหญ่แล้วเป็นหนัง
สือที่แปลงมาจากภาพยนต์เล่มจะไม่หนามาก พอมีกำลังใจอ่านเล่มแรกๆ ที่อ่านจบคือ Apollo 11 กับ About a Boy 
ซึ่งจุดเริ่มต้นเล็กๆ นั้นอาจจะยังไม่ส่งผลระยะสั้นแต่ในระยะยาว พอเข้ามหาลัย ชีวิตต้องเริ่มปรับตัวมาอ่าน Text ผมก็
ยังมีปัญหาอยู่แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ภาษาแต่เป็นเพราะมันต้องเข้าใจสมการไปด้วย ซึ่งแรกๆ ก็ยากแต่พออยู่กับมันไป
นานๆ มันก็เริ่มน่ารักขึ้น แต่สาเหตุหลักของหนังสือที่บังคับให้ผมอ่านคือ ข่าวครับ ในสายไอทีการจะรอข่าวมาแปลไทย
ตอนนี้ผมถือเป็นเรื่องที่เสียเวลามาก จึงไปคว้าข่าวมาอ่านก่อนเลยตามเว็บดังๆ ไม่ว่าจะเป็น Wired, Lifehacker หรือ Hackernews ซึ่งผมอ่านแทบจะทุกวันทำให้นอกจากจะได้ความรู้ในสายไอทีตลอดแล้ว ยังได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน
อีกด้วย

       สุดท้ายจริงๆ ผมว่าจะพูดแค่นิดเดียวเอาไปเอามาก็เยอะเหมือนกันแหะ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะเริ่มใช้ภาษาอังกฤษ
ยังไง ก็ลองปรับวิธีการใช้ชีวิตจากไม่เคยฟังเพลงสากลลองฟังดูบ้าง จากไม่เคยดูหนังเสียง/ซับ Eng ก็ลองดูบ้าง 
สิ่งเหล่านี้ผมไม่รับรองว่าจะได้ผลกับทุกคน แต่ผมเชื่อว่าการที่เราได้อยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมแบบนั้นทำให้เรา
เรียนรู้ภาษาได้เร็วมาก (ซึ่งผมก็ว่ามันอาจจะจริงเพราะเดี๋ยวนี้ผมเริ่มมาดูซีรีย์ญี่ปุ่นแล้วเริ่มคุ้นกับคำญี่ปุ่นบางคำแล้ว) 
ไม่แน่คุณอาจจะชอบมันแล้วมีความสุขกับมันมากกว่าที่คิดตอนแรกก็เป็นได้ แล้วผมขอทิ้งท้ายด้วยคำคมที่ผมได้มา
จากเมื่อวานแล้วผมชอบมันมากจากอาจารย์ที่สอน TOEIC คลาสผมคือ 
"Vocabulary is your best friend... and also your worst enemy"
 ภาพข้างบนจาก facebook "we love NewEducation World"

Comments