รีวิวประสบการณ์หนึ่งอาทิตย์หลังย้ายค่ายจาก Android มา iOS


       ผมคิดเตรียมใจรอตั้งแต่ก่อนย้ายค่ายแล้วว่า หลังจากย้ายมา iOS นั้นต้องเกิดอาการ Culture Shock แน่ๆ ซึ่งก็ไม่น่าจะมีเวลาไหนอธิบายความรู้สึกนี้ได้ดีมากกว่าหลังใช้งานได้หนึ่งอาทิตย์ มันถึงเกิดเป็นเอนทรี่นี้ขึ้นมา น่าเสียดายที่มันยังมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ลองใช้ เลยไม่มีโอกาสพูดถึงในนี้ แต่ผมว่าแค่ที่ผมพูดถึงในนี้ก็เกินกว่าที่ผมคาดหวังไว้ตอนแรกอีก ประสบการณ์ในนี้เป็นความเห็นส่วนตัวแล้วเทียบกับการใช้ Android มาสอง Generation ( ตั้งแต่ Optimus One จนถึง Moto G ) ไม่เคยใช้ Android รุ่นสูงๆ เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าบางอย่างผมจะอวยนะครับ


Camera

Photos

       อันนี้ไม่พูดถึงไม่ได้เลย เป็นเหตุผลหลักที่ย้ายค่ายมา ผมไม่เคยลองมือถือกล้องดีๆ ของ Android นะ แต่ผมต้องยอมรับจริงๆ ว่ากล้องของ iPhone มันชัดมาก ในสภาพแสงปกติและยังทำได้ดีอยู่ในสภาพแสงน้อย ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมายังไม่เจอภาพที่เห็น Noise ชัดๆ เวลาถ่ายกลางคืนเลย พวกลูกเล่นอย่าง Time-lapse หรือ Slo-mo พวกนี้ ตอนไม่มีชีวิตก็อยู่ได้นะไม่ได้รู้สึกขาดอะไร แต่พอมีแล้ว เออ มันทำให้เรามีจินตนาการในการสร้างคลิปสั้นๆ อะไรพวกนี้มากขึ้นอีก ไม่ใช่แค่ถ่ายวิดีโอแล้วมาตัดต่อทีหลัง แต่เสร็จตอนนั้นเลย
       แต่ฟีเจอร์ที่ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจเลยตอนนี้คือ Live Photos เลยครับ มันทำให้การ Snap นั้นเปลี่ยนไปเลย จากแต่ก่อนภาพบางภาพ เราอยากจะ Snap ไว้ซึ่ง Snap ในความหมายแต่ก่อนก็คือ Still image เป็นแค่ภาพนิ่งที่เราต้องนึกถึงความทรงจำที่เราถ่ายในเวลานั้น แต่ Live Photos ได้เปลี่ยนความหมายของ Snap ไปเลย มันทำให้การ Snap ทุกครั้งของผมหลังจากนั้นมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งตัว Live Photos เนี่ยจะอัดคลิปสั้นๆ ก่อนกับหลังเราถ่ายรูปนั้น แล้วเวลาเรากลับมาดูรูปๆ นั้นบางครั้งอาจจะรู้สึกเหมือนเป็นรูปที่เสีย แต่พอกดไปแรงๆ ( 3D Touch ) ภาพนั้นมันกลับมีชีวิตขึ้นมาทั้งภาพและเสียง ซึ่งบอกได้เลยว่ารูปบางรูปผมย้อนกลับมาดูด้วย Live Photos แล้วทำให้อมยิ้มได้มากกว่าภาพนิ่งหลายภาพซะอีก ผมเข้าใจว่า Live Photos ยังใช้ได้เฉพาะ 6 ขึ้นไปแต่ถ้าอยากจะแบ่งปันกับคนอื่น ผมแนะนำแอพ Lively เลยครับตัวแอพนี้จะช่วยเราแปลง Live Photos ไปเป็น format อื่นที่คนอื่นดูได้เช่น GIF ซึ่งเอาไปแปะที่ไหนก็ได้ ผมบอกได้เลยว่าถ้า Facebook เปิด Profile video เมื่อไรฟีเจอร์นี้จะเป็นพระเอกเลย

Photos
       ในส่วนของแอพ Photos ฟีเจอร์ที่มีประโยชน์คือเก็บภาพแยกเป็นระดับแบบ Years > Collections > Moments ซึ่งปกติแล้วผมเปิด GPS ตลอดเวลาทำให้ภาพมันเก็บ location ไปด้วย แล้วตัว Photos ก็มีหน้าจัดการคล้ายๆ Instagram ที่แสดงว่าภาพมันถ่ายที่ไหนบ้าง มีประโยชน์ดีเวลาอยากกลับไปใหม่ อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ดีมากๆ คือ iCloud Photo Sharing ที่สามารถสร้างอัลบั้มขึ้นมาแล้วแชร์กับคนที่ใช้ iCloud เหมือนกันมีประโยชน์มากเวลาไปเที่ยวแล้วต้องมาแชร์รูปกัน ไม่ต้องผ่าน Facebook หรือ Line ที่คุณภาพจะตกลงไปหน่อย แล้วแต่ละรูปที่แชร์ในนี้สามารถ comment กับ like ได้นะครับ เสมือนว่าเป็น Social Network ส่วนตัวของช่วงเวลานั้นๆ ได้เลย

Music

iTunes

       ผมใช้ iTunes มานานครับเอาจริงๆ ก็ตั้งแต่ก่อนใช้ Android อีกแล้วผมอยุ่กับ ecosystem ของมันมานานมาก หมดเงินไปกับมันก็เยอะ เป็นตัวที่มาแทน Winamp (โคตรแก่เลย) มาหลายปี สิ่งที่เปลี่ยนไปกับ iTunes หลังจากผมย้ายมาอยู่บน iOS คือผมต้อง Sync กับมันแล้วครับ ซึ่งแต่ก่อนตอนอยู่ Android นี่คือเปิดโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์มันจริงๆ แล้วลากไปไว้ใน Memory ของเครื่อง อันนี้คือกด Authorize ไม่กี่คลิกแล้ว Sync ทุกอย่างก็คลิกอย่างเดียวแล้วเพลง, Playlist อะไรมาหมด แถมยังตั้งให้ Sync on WiFi ได้ด้วยแต่ยังไม่ได้ลองเลยไม่รู้ว่าเปนไง

Remote
       อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ผมค้นพบว่ามัน Build-in มาคือ Remote ครับ ใน iPhone เราลงแอพ Remote ไว้แล้วตั้ง Turn on Home Sharing ที่ iTunes ในเครื่องเราซะแค่นี้ ถ้าต่อ WiFi เดียวกับคอมพิวเตอร์ที่มี iTunes อยู่เราสามารถใช้ iPhone ควบคุมได้เลยครับ เหมาะกับคนขี้เกียจอย่างผมที่เอาโน๊ตบุ๊คกับลำโพงวางไว้มุมห้องด้านหนึ่ง แล้วตัวเองนอนกลิ้งอยู่อีกด้านหนึ่งไม่ต้องลุกไปลุกมาบ่อยๆ
       ถ้าผมว่ามันจะมีอะไรขาดไปในแอพ Music ก็คงเป็นมันไม่มี Equalizer นี่แหละ แต่อยู่ไปนานๆ ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีแล้วก็ได้คือโทนมันก็ดีไม่ได้แย่ ผมยังไม่ได้ลองกับหูฟังที่แถมมากับเครื่องเลยไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างนะ หรือว่าหูฟังผมมันดีจนช่วยให้ไม่ต้องแต่งแล้ว ก็น่าคิดแหะ

Podcasts
       อ่อ iPhone มีแอพ Podcasts ให้ในตัวนะครับแถมตัวที่ฟังอย่าง WitCast ก็ลิงค์ไว้ใน iTunes เรียบร้อยแล้วเรียกได้ว่า อยู่บนคอมอยู่บนเครื่อง ฟังได้เท่ากันเลยแถมฟังก์ชันอย่าง Skip, sleep timer อะไรพวกนี้ก็มีให้หมด เลยหมดความคิดที่จะโหลดแอพอื่นมาใช้เพื่อเรื่องนี้เลย

Google Photos

Once a google, always a google

       เพราะว่าผมใช้ Android มานานด้วยแหละมั้งผมยอมรับเลยว่าบางอย่างผมก็ยังไม่อยากย้ายมาอยู่บน ecosystem ของ Apple มากนักอีกทั้งที่ทำงานก็ใช้ Google Apps อยู่แล้วเลยยังไม่อยากย้ายออกมา เพราะฉะนั้นตัว Email, Calendar, Contact สามอย่างนี้ที่จำเป็นในชีวิตยังอิงอยู่กับ Google ซึ่งตัว iOS เองก็ไม่มีปัญหาเปิดโอกาสให้เลือก Account พวกนี้เข้ามา Sync กับข้อมูลบน iOS ได้
       ตัวแอพ Mail ก็ดีแต่ผมก็ยังติด Gmail อยู่ทั้งสองอีเมล์ แอพนี้เลยทำหน้าที่รับโหลดจากอีเมล์ Exchange account ของผมไป ซึ่งก็ไม่ค่อย Sync เท่าไรอาจจะต้องตั้งค่าเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้ยุ่งกับมันมากเพราะงานหลักๆ สุดท้ายก็อยู่ใน Gmail ไม่ต่างอะไรกับ Google Maps ก็เหตุผลเดียวกับอีเมล์เพราะปักหมุดสถานที่สำคัญๆ ไว้เยอะมาก จนไม่รู้จะย้ายมาทำไม อีกทั้งมันใช้ในเว็บได้ด้วยก็เลยไม่มีโอกาสได้ใช้แอพ Maps ที่มากับเครื่องเลย
       Photos Backup อันนี้ผมไม่รู้ว่า iCloud ทำอะไรกับรูปผมบ้างแต่รู้แค่ว่ามันจำกัดแค่ 5 GB ก็เลยปิดมันไปไม่ต้อง Sync ขึ้นที่นี้ แต่ให้ Sync กลับตัว Google Photos เหมือนเดิม ซึ่งผมก็ Sync มานานมากจนจำไม่ได้แล้วว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไร อีกทั้งตัว Google Photos มีฟีเจอร์ On this day คล้ายๆ Timehop ด้วยเพราะฉะนั้นก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรให้ย้ายไปเก็บบน iCloud ทั้งหมด
       ผมเข้าใจว่า Apple ออกแอพ Move to iOS มาช่วยคนย้ายค่ายอย่างผม แต่ตอนกำลังทำเครื่องดันไม่เห็นก็เลยไม่ได้ลอง แต่เข้าใจว่าน่าจะทำให้อะไรต่างๆ ง่ายขึ้นมากกว่ามาเซตมืออย่างที่ผมอธิบายมานี้นะ

Control Center

Everything else

       Touch ID กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเลย จะทำอะไรก็ขอผมจับ ขอผมทัช สะดวกขึ้นเยอะอาจจะดูแรดหน่อย แต่ก็ยอม
       3D Touch มีประโยชน์เวลาอยากทำอะไรเร็วๆ กับหลายๆ แอพเช่น Goodread, Facebook, Twitter แต่สุดท้ายก็ยังไม่ค่อยได้ใช้มากเท่าไร จะไปใช้มากก็ตอนดู Live Photos อย่างที่พูดไปข้างบนนะแหละ
       Notification and Control Center อันนี้ถ้าถามว่าแยกกันแล้วรู้สึกต่างจากตอนที่ใช้ Android มั้ย ก็ไม่ต่างมากเท่าไร แต่การที่ Control Center มันอยู่ข้างล่างก็มีข้อดีคือไม่ต้องเอื้อมมือมากเวลาทำอะไร ซึ่งปัญหาเอื้อมมือเนี่ยตัว iOS ก็มีวิธีแก้อยู่แล้วคือ แทบที่ปุ่ม home 2 ครั้งแล้วมันก็จะย่นจอลงมาให้ถ้าเอื้อมนิ้วไม่ถึงข้างบนๆ ส่วนตัว Notification จะดีมากถ้ามีปุ่มลบทั้งหมดทีเดียว แบบทีเดียวจริงๆ นะไม่ใช่แยกตามวัน เพราะบางวันก็ไม่ได้เปิดเข้ามาดูมันเลย อยากจะเคลียร์ๆ ให้มันจบๆ ไปทีเดียวเหมือนแต่ก่อน
       Siri เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยเล่นเท่าไร ถ้าใช้บ่อยก็ตอนเพิ่งตื่นแล้วถามมันว่ากี่โมงแล้วนี่แหละ ไม่ต้องลืมตาดู ไม่ต้องขยับตัว ส่วนพวกสั่งให้โทรหาใคร เปิดแอพอะไร ยังไม่พบเคสที่จะได้ใช้บ่อยๆ เรียกได้ว่ามีไว้ก็ดี แต่ไม่มีก็ได้
       Airdrop มีประโยชน์เวลาแชร์ไฟล์ให้กับเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ กัน มีประโยชน์พอๆ กับ iCloud Photo Sharing เลยแต่เหมาะกับเวลาอยู่ใกล้ๆ กันมากกว่า

Kindle
       Screen จอของ 6s สว่าง, คมและก็ใหญ่ขึ้นมาก (เทียบกับ Moto G ) ทำให้วิธีชีวิตที่อ่านหนังสือในแอพ Kindle สะดวกมากขึ้นเยอะเปิดได้หลายบรรทัดมากขึ้นโดยไม่ต้องเพ่งมากเกินไป
       Battery อันนี้เป็นสิ่งที่ผมตกใจมากหลังจากเปลี่ยนมาจาก Moto G คือมันชาร์จเร็วมาก เสียบแค่ 10 นาทีขึ้นเยอะมาก ในขณะที่ Moto G เก่านี่ชาร์จเป็นชั่วโมงๆ แล้วแบตเองก็อยู่ได้นานด้วย ผมยังไม่เคยใช้เครื่องจนถึงจุดที่มันดับเลยในหนึ่งวันที่ทั้งเล่นเกม เปิดแอพ ก็ยังอยู่ได้จนหมดวัน ผมได้ยินคำร่ำลือเรื่องสายชาร์จพังเร็วมานาน ก็พยายามดูแลรักษาให้มันดีที่สุด แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันบอบบางเหลือเกิน
       Heat เป็นเฉพาะตอนเล่นเกม (บางเกมด้วย) แล้วจะร้อนขึ้นมาดื้อๆ แบบอุ่นมือเลย แต่ก็ยอมรับว่าระบายความร้อนได้เร็วระดับนึงเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตัวเครื่องเป็นโลหะด้วยหรือเปล่าเลยอุณหภูมิขึ้นๆ ลงๆ ได้เร็วขนาดนี้

       เอาจริงๆ ก็มีอีกหลายฟีเจอร์ที่อยากลองนะแต่ยังไม่มีโอกาสเช่น FaceTime หรือพวกแอพที่มันแถมมากับเครื่องอย่าง Keynote หรือ iMovie ก็เลยยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ใช้มันจริงๆ มากแค่ไหน แต่แค่นี้ก็น่าจะเห็นภาพแล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับการย้ายค่ายมาอยู่บน iOS นะครับ สุดท้ายจริงๆ 4G ของ truemove H เร็วสัสๆ เลยผมนี่ช็อคมาก สวัสดี

Comments