Summer

credit: http://prashslash.wordpress.com/2012/03/13/a-fan-review-500-days-of-summer/
       โอเคครับผมจะพูดตามตรงผมเพิ่งดู 500 Days of Summer จบ รอบนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้เป็นหนึ่งในหนังที่ผมชอบที่สุดตลอดกาล แต่วันนี้ผมเพิ่งสังเกตุเห็นความแตกต่างอย่างนึง คือ ในแต่ละครั้งที่ผมดูหนังเรื่องนี้ แต่ละช่วงของชีวิตผมเพิ่งค้นพบว่าผมโฟกัสสิ่งที่หนังพยายามจะสื่อออกมาในแต่ครั้งไม่เหมือนกัน และผมก็เพิ่งค้นพบว่าการกลับมาดู 500 Days of Summer อีกครั้งในครั้งนี้ ผมโฟกัสช่วงวันในฉากข้างบนครับ
       ถ้าสปอยคงไม่เป็นไรหรอกมั้งเพราะหนังมันก็เก่าระดับนึงละ ในฉากนั้นจะเป็นช่วงวันที่ทอมบังเอิญเจอกับซัมเมอร์ระหว่างทางไปงานแต่งงานของคนที่ทั้งคู่รู้จักหลังจากทอมกับซัมเมอร์เลิกคบกันมาได้ซักพักนึง (อ่อ ก่อนอื่นสิ่งที่ผมจะเขียนในบล็อคนี้ไม่ใช่เรื่องรักครับ) แล้วทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกันเลย สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือทั้งคู่กลับมาคุยกัน พูดถึงความสัมพันธ์และเรื่องงี่เง่าในอดีตในประสบการณ์ที่ทั้งคู่ผ่านมาด้วยกันในช่วงวันแรกๆ ซึ่งการมามองย้อนกลับในช่วงนี้ทั้งคู่ต่างรู้สึกว่าหลายๆ อย่างเป็นเรื่องงี่เง่า แต่หลายอย่างก็เป็นความทรงจำที่ดี ซึ่งหลังจากนั้นซัมเมอร์ยังชวนทอมไปงานปาร์ตี้ที่หอไม่นานหลังจากนั้นอีก
       สิ่งที่ผมรู้สึกได้จากช่วงนี้ของชีวิตทอมตั้งแต่กลับมาบังเอิญเจอซัมเมอร์แล้วแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นคือ ตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าเราจะทำตัวยังไง เราเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ ตอนนี้มีความสุขดีแล้ว แต่สุดท้ายแล้วทอมก็เปิดใจแล้วไปคุยกับซัมเมอร์ระหว่างทาง (ตามภาพข้างบน) และในงานแต่งด้วย แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือ เขากลับมามีความหวังอีกครั้งและมั่นใจมากว่าสิ่งที่คาดหวังไว้จะเป็นจริง (ตามคำบรรยายเลยนะ) ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วต้องยอมรับว่าชีวิตมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวังไว้เสมอไปหรอก และหลังจากนั้นไม่นานทอมก็เข้าสู่โหมด Life Suck ซึ่งไม่ใช่จุดที่ผมโฟกัสละ

       ผมมีเพื่อนคนนึงครับ รู้จักกันมานานสมมติว่าชื่อซัมเมอร์ละกัน เรารู้จักกันมาก็หลายปี แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังสงสัยว่าตัวผมเองนั้นรู้จักกับซัมเมอร์จริงๆ รึเปล่า เราเคยคุยกันหลายเรื่องในอดีต ในสมัยที่เรายังเด็กอยู่มาก และด้วยเหตุผลบางอย่างเราก็หยุดคุยกันไป หลายปีหลังจากนั้นแม้ว่าเราจะยังมีช่องทางการติดต่อกันได้สาเหตุหนึ่งเพราะโลกมันกลมขึ้น แคบขึ้น และแม้เราจะคุยกันบ้างนานๆ ครั้งแต่ผมก็ยังไม่เคยลืมซัมเมอร์ ในขณะที่เพื่อนผมหลายคนในชีวิตที่เคยผ่านเข้ามาและผ่านไปจากชีวิต แต่ผมก็ยังไม่เคยหายสงสัยและตอบคำถามได้เลยว่า ผมรู้จักกับซัมเมอร์จริงๆ เหรอ บางทีผมสงสัยว่า บางทีผมอาจจะเลือกจำแต่ความทรงจำดีๆ นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าผมไม่เคยลืมซัมเมอร์ไปได้จริงๆ เลย
       แน่นอนว่าเวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนนี่เป็นเรื่องจริงของชีวิตที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้และรู้สึกได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมเปลี่ยนไปมาก หลายๆ ความเชื่อที่เคยศรัทธาก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป มีหลายๆ สิ่งผ่านเข้ามาในชีวิต ประสบการณ์มากขึ้นและหลายๆ อย่าง ชีวิตดำเนินไปตามปกติ ตามวิถีที่วางแผนไว้ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบตามแบบที่มันควรจะเป็น แต่อย่างไรก็แล้วแต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะสมบูรณ์แบบเลยซะทีเดียว มันยังมีหลายอย่างที่ยังขาดไปในชีวิต
       โอเคครับย่อหน้าที่แล้วอาจจะไม่เกี่ยวอะไรเลยกับย่อหน้า่ก่อนหน้านี้ ผมขอพาเราวกกลับมาสู่ 500 Days of Summer ก่อนว่ามันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง

       สองสามอาทิตย์ก่อนวันธรรมดาๆ วันหนึ่งซัมเมอร์กลับเข้ามาในชีวิตผม จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ จริงๆ แล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ผมมโนหรือจินตนาการขึ้นมาเอง ผมเข้าใจว่ามันคือสัญญาณ สิ่งที่ผมรอมาหลายปี ณ วินาทีนั้นผมตัดสินใจทักซัมเมอร์ไป พูดไปตามตรงสำหรับทุกสิ่งที่ค้างคาอยู่ภายในความคิด มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเองก็ยังประหลาดใจจนทุกวันนี้ แม้ว่าคำตอบที่ซัมเมอร์ตอบจะไม่เชิงเป็นคำตอบทีเดียวนัก ผมรู้สึกอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีว่าบางอย่างที่หายไปมันกลับคืนมา และถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมมโนหรือมันอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญแต่อย่างน้อยในช่วงนี้ของชีวิต มันกลับมามีความหมายอีกครั้ง ความหมายที่จะรอ รอที่เราจะได้กลับมาคุยกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมถึงแม้ว่าจะนานซักแค่ไหนก็ตาม และนั่นแหละครับที่ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของทอมในฉากนั้นได้เป็นอย่างดี ความหวังที่ว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้มันจะเป็นสิ่งเดียวกับความเป็นจริง.

credit: http://raws.adc.rmit.edu.au/~s3332478/blog2/?p=45

Comments