5 สิ่งที่ผมอยากเล่าเกี่ยวกับ 4 ปีในมหาวิทยาลัย


       น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปพูดสิ่งที่กำลังพิมพ์ต่อไปนี้ด้วยตัวเองด้วยเหตุผลบางอย่าง อย่างไรก็ตามเป็นความตั้งใจของผมมาตลอดที่ต้องการถ่ายทอดประสบการณ์อันน้อยนิดตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โอเคเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเข้าเนื้อหาเลยดีกว่า

       เผื่อใครยังไม่รู้จัก ผมชื่อแมนนะครับ ปัจจุบันเป็น Developer ตัวใหญ่ๆ อยู่ที่บริษัทซอฟท์แวร์แห่งหนึ่งย่านเอกมัย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่คนฟัง (หรืออ่าน) ต้องการจากสิ่งที่ผมจะพูดคืออะไรจริงๆ ผมไม่รู้เลยครับ แรงบันดาลใจ, ประสบการณ์, เรื่องตื่นเต้น ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันขึ้นอยู่กับมุมมองทั้งสองฝ่ายซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้ตรงกันอย่างที่คาดไว้ ผมคิดอยู่นานเหมือนกันกว่าผมจะสรุปได้ว่าผมต้องการพูดอะไร เลยออกมาได้แค่ 5 อย่างที่ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับ 4 ปีที่ผ่านมาที่ลาดกระบังฯ

1.ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่เราจะเรียนรู้ เพียงแต่เราต้องเปิดใจรับมัน

       หลายครั้งที่เราไม่รู้ว่าคนที่เรากำลังคุยด้วย (หรือกำลังพิมพ์ให้เขาอ่าน) เขาผ่านอะไรมาบ้างข้อแรกผมเขียนว่าเปิดใจ คือ ถึงผมจะปล่อยให้มันว่างแล้วคุณเข้าใจว่าผมไม่เขียนอะไร แต่มองในมุมกลับกันทำไมถึงคิดว่าสิ่งที่ผมเล่าต้องเขียน เพลงที่เพราะต้องได้ยิน หรือภาพที่สวยต้องมองเห็น เปิดใจครับ แล้วเรื่องนี้มันใช้ได้กับทุกเรื่องครับ ไม่ว่าเขาจะพ่นขยะมาให้คุณฟัง เรื่องไร้สาระที่คุณไม่อยากฟังแต่อยากให้ลองเปิดใจดูแล้วตัดสินด้วยตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจว่าแม่งกูไม่อ่านแระเรื่องไร้สาระอะไรเนี่ย ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านข้อ 2 เลยครับ

2.การประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับตัวเราเองนิยามมันขึ้นมา

       ผมมีเพื่อนหลายคนนะ ที่ตลอด 4 ปีชีวิตส่วนใหญ่ทุ่มให้กับการเรียนอย่างหนัก ไปเรียน-กลับบ้าน ชีวิตมีอยู่แค่นี้ คือในมุมมองอื่นเขาอาจจะมีงานอดิเรกอย่างอื่นต้องทำก็ได้ แต่นั่นคือมุมที่ผมมอง คนเหล่านี้มักจะไม่เคยมาร่วมกิจกรรมในทุกๆ รูปแบบ ซึ่งหลายคนมักจะเรียกว่าผีคือ จะเห็นมันแค่ในห้องเรียนกับห้องสอบแค่นั้นแหละ พอเรามาอยู่กับเพื่อนใหม่หลายๆ คนเรามักจะมองว่าคนเหล่านี้แปลกประหลาด เข้าสังคมไม่เป็น แต่พอผ่านไปผมพยายามทำความเข้าใจกับคนเหล่านี้ (จริงๆ ก็ผ่านกับการทำงานกลุ่มตั้งแต่ปี 1,2,3 จริงๆ ก็เกือบทุกปี ซึ่งคนเหล่านี้มักจะไม่มีใครเลือกเข้า จนหลายครั้งต้องจับกลุ่มกันเอง)  ผมค้นพบว่า คนเหล่านี้หลายคนเป็นคนที่ทำงานเก่งใช้ได้เลยทีเดียว ผิดกับที่หลายๆ คนชอบตัดสินมันว่าจบไปทำงานจริงๆ ไปไม่รอดหรอก หลายคนเป็นคนที่มีความตั้งใจสูงมาก เพียงแต่ต้องชี้แนะให้ถูกทาง ในมุมกลับกันผมก็มีเพื่อนอีกหลายคนและรวมถึงตัวผมเองด้วยที่เรียนไปด้วยและทำอย่างอื่นไปด้วย (ไม่อยากพูดว่ากิจกรรม เพราะหลายอย่างมันก็เป็นงาน) หลายๆ คนพอมาทำกิจกรรมแล้วเกรดตก ก็เลิกราไป หลายๆ คนทั้งเรียนทั้งทำกิจกรรมเกรดมันก็ยังสูงอยู่ดี ที่จะบอกก็คือ เราอาจจะมีเป้าหมายเดียวกันกว้างๆ ตอนปลายทางคือเรียนให้จบแล้วทำงาน (หรือเรียนต่อแล้วแต่คน) แต่สิ่งสำคัญจริงๆ คือระหว่างทางเราต้องการอะไร เหมือนเล่นเกมแล้วเวลาต้องทำเควสมันก็จะแยกเป็นเควสหลักแล้วเควสเสริมนั่นแหละครับ จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้มันเป็นสิทธิของคุณ ไม่ได้จะบอกว่าทำเควสเสริมแล้วได้อะไร เพราะสิ่งที่แต่ละคนได้กลับไปมันก็ไม่เหมือนกัน (ทั้งๆ ที่แม่งก็ทำเหมือนกัน) ไม่ได้บอกให้ไปลองเดี๋ยวก็รู้แต่อยากให้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าอยากลองรึเปล่า

3.ความรู้ไม่ได้มีอยู่แค่ในห้องเรียน แต่สิ่งที่เรียนมีประโยชน์เสมอแม้ว่ามันแทบจะไม่เกี่ยวกับเราเลยก็ตาม

       วิชาเรียนปี 1 พอเรียนไปได้ซัก 2-3 สัปดาห์เท่านั้นแหละ เราจะรู้สึกว่า อะไรวะ แม่งโคตรยากเลย ถ้าไม่ใช่พวกอัจฉริยะมาตั้งแต่เกิด มันต้องมีอย่างน้อย 1 วิชาแหละที่เราจะรู้สึกขยาดกับมันบ้าง แล้วเราจะรู้สึกอย่างนั้นจนถึงปี 4 ครับไม่ผิดหรอก ขยาดตั้งแต่ปี 1-4 เรียงหน้ากันมาไม่ซ้ำกันเลย วิชาที่ขยาดติดตราตรึงใจที่สุดก็คงไม่พ้น Engineering Electronics ตอนปี 2 คือต้องบอกก่อนว่า ผมชอบไฟฟ้านะครับ แล้วผมก็ชอบคณิตศาสตร์มากด้วย แต่พอมันเอามาผสมกันในระดับที่เรียกได้ว่า Abstract มากๆ ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ เป็นวิชาที่พยายามทำความเข้าใจเท่าไร แม่งก็ไม่เคยเข้าใจ เข้าเรียนทุกคาบ ตั้งใจจดทุกคาบ อ่านหนังสือก็มาก สุดท้ายจำได้แม่นเลยว่าทำข้อสอบปลายภาคได้แค่ข้อเดียว (ซึ่งวิชานี้วัด 100% กับสอบด้วย) สุดท้ายได้ D ตัวแรกมาติด Transcript จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ผมได้จากวิชานี้ไม่ว่าจะเป็นการหา Transfer function คำนวนหา I หรืออะไรประมาณนี้ถามว่ามีประโยชน์กับงานที่ผมทำอยู่ปัจจุบันมั้ย ก็ไม่เลย แต่อย่างน้อยวิชานั้นทำให้ผมเจอสถานการณ์ที่ทำไม่ได้เลยครั้งแรก เรียกได้ว่าเฟลกลับมาหลังสอบครั้งแรก แต่มันทำให้วิชาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอีกวิชาเช่น Information Security ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอีกเช่นกัน ไม่เฟลมากหลังสอบเสร็จ ทั้งๆ ที่ทำไม่ได้พอๆ กันเลยก็ตาม

4.เวลาไม่เคยพอ

       เวลา 4 ปีมันสั้นมากครับ ทุกคนจะพูดเหมือนกันอย่างนี้หมดแต่เราจะรู้สึกจริงๆ ว่ามันสั้นก็ตอนเรียนจบหรือกำลังจะจบนะแหละ ตอนอยู่ปี 1 ผมเคยคิดว่าอีกตั้ง 4 ปีที่ต้องอยู่ที่นี่ มันคงนานดีพิลึกแล้วมันก็นานแล้วทุกข์จริงๆ บางช่วง แต่บางครั้งมันก็ผ่านไปเร็วจนเราใจหายเหมือนกัน ตลอด 4 ปีจะมีสิ่งต่างๆ ที่น่าทำ และสามารถทำได้แค่ในแต่ละปีที่อายุและประสบการณ์เราเพิ่มขึ้น ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งและยังคงเป็นความจริงเสมอแน่ๆ ก็คือ เราทำทุกอย่างไม่ได้ หรือถ้าทำได้ก็ต้องมีซักอย่างที่เราทำออกมาแล้วมันห่วย ยกตัวอย่างเช่น ผมพยายามทำกิจกรรมอย่างหนึ่งของคณะ พยายามเล่นกีฬา พยายามตั้งใจเรียนและก็พยายามทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในช่วงเวลาเดียวกันผมค้นพบว่าสุดท้ายแล้วเราจะค่อยๆ ตัดสิ่งที่เราทำได้ไม่ดีออกไปทีละอย่าง ทีละอย่างเหลือแต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ถามว่าผมยังชอบสิ่งที่เคยตัดไปอยู่มั้ย ก็ยังชอบอยู่แต่ในเมื่อเวลามันมีจำกัด ก็ต้องเลือกให้เป็น แน่นอนครับว่าไม่มีใครแม่งเลือกได้ถูกตลอด มันต้องมีบางจังหวะในชีวิตที่เราเลือกผิดบ้าง เป็นเรื่องธรรมชาติครับ อีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องเวลาก็คือ ถ้าอยากทำอะไรทำเลยครับ อย่ารอ อย่ามัวแต่ลังเลอย่างที่บอกว่าบางสิ่งสามารถทำได้แค่ในแต่ละปี เพราะฉะนั้นโอกาสมันมีไม่มากหรอก แต่เวลาทำอะไรอย่าลืมคิดถึงหน้าพ่อกับแม่ก่อนเสมอนะ

5.คนเราเปลี่ยนไปตลอดเวลา

       ผมตั้งใจจะเป็นโปรแกรมเมอร์ตั้งแต่เข้ามาเรียนปี 1 รู้ตัวเลยว่ากูต้องไปทางนั้นแน่ๆ แต่พอเวลาผ่านไปปี 2 - 3 ได้รู้อะไรมากขึ้น ได้เจอทัศนคติแย่ๆ เข้าไปและอะไรอีกหลายๆ อย่างผมเริ่มเบนเข็มจากสิ่งที่ตั้งใจไว้ไปทำอย่างอื่นไปทำ Infrastructure, Linux อะไรพวกนี้ ซึ่งมันก็สนุกดีนะ ตอนช่วงเวลานั้นก็คิดว่าจบไปคงทำงานไม่พ้น System Engineer หรืออะไรพวกนั้นแน่ๆ แล้วมันก็เปลี่ยนกลับมาชอบเขียนโปรแกรมอีกตอนรู้จัก Agile นี่แหละ จนถึงปัจจุบัน ผมเคยคุยกับพี่ที่รู้จักกันคนนึงว่าผมแม่งค้นพบตัวเองแล้วหวะ จะทำงานนี้แหละตอนนั้นผมมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว แต่พี่คนนั้นตอบกลับมาประมาณว่า "เวลาเปลี่ยนทัศนคติเราก็เปลี่ยนไป เราไม่มีทางรู้หรอกว่าถึงวันนึงเราจะยังเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า" เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำคือพยายามอยู่กับปัจจุบัน เวลามองคนอื่นก็เหมือนกันครับ พยายามอย่ามองอดีตไม่ว่าเขาจะเคยทำอะไรมาก็ตามถ้ามันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนั่นก็เพียงพอแล้ว แต่อย่างว่าแหละครับซึ่งก็เป็นพี่คนเดียวกับที่พูดประโยคข้างต้น เรื่องแบบนี้มันพูดยาก

       ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าบางหัวข้อแม่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมเล่าเลยครับ ผมแค่เอามาแปะให้มันดูเท่ห์เฉยๆ (ล้อเล่นๆ) แน่นอนว่าประสบการณ์ของคนเราตลอด 4 ปีนั้นมันมีมากมายมหาศาลเล่าทั้งวันก็คงจะไม่หมด สิ่งที่ผมเลือกมาเล่าแน่นอนต้องหวังอยู่แล้วว่าจะครอบคลุมคนกลุ่มใหญ่ที่สุด และถึงแม้เขาจะคิดว่าเป็นการเสียเวลาเพื่อมาอ่านสิ่งที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ แต่ผมก็ขอขอบคุณนะครับที่อ่านจนจบและเพื่อเป็นการขอบคุณผมแถมข้อ 6 ให้สั้นๆ

6.อย่าเชื่อสิ่งที่คนอื่นไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน หรือใครก็ตามแม้กระทั่งที่ผมกำลังเล่าอยู่นี่ก็อย่าไปเชื่อครับ

Comments