Burnout

photo credit: https://www.behance.net/gallery/BURNOUT-SYNDROME/691282
       ตอนสมัยผมฝึกงานเมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้วที่สถานทูตฯ มีงานกลุ่ม Final Project 1 งานที่ผมต้องทำร่วมกับเพื่อน Intern คนอื่นๆ ของกลุ่มผมเลือก Work Life Balance หรืออะไรประมาณนี้จำชื่อหัวข้อชัดเจนไม่ได้แล้ว แต่การทำงานกลุ่มในครั้งนั้นทำให้ผมรู้จักกับคำว่า Workaholic เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งผมก็เพิ่งมารู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าหลายๆ คนก็มองออกแต่แรกเลยว่าผมเป็นคนประเภทนี้ ต่อมาผมมารู้จักคำว่า Burnout ครั้งแรกจาก #blog นี้ครับ http://mind.6eam.com/post/73599784465/burnout ส่วนข้างล่างนี้คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม

       อาการ Burnout สรุปง่ายๆ คือ อาการหมดแรงทั้งทางกายและทางจิตใจ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากการทุ่มเทให้กับการทำอะไรซักอย่างมากเกินไปจนเกินพอดี ผมเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าตัวเองเป็น Burnout หรือถ้าเป็นก็มักจะไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นชัดที่สุดผมว่า อาการอกหัก ก็มีสภาวะหลายๆ อย่างใกล้เคียงกับ Burnout นะ แต่ Burnout ในกรณีที่ผมจะมาพูดถึงวันนี้สาเหตุมันเกิดจากงานครับ อย่างที่รู้กันว่า Senior project มันเป็นอะไรที่นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ปีสุดท้ายต้องทุ่มเทให้มันเต็มตัวตลอด 1 ปีและเป็นสิ่งเดิมพันการเรียนจบ เป็นผลงานที่จะประทับชื่อเราไว้อีกยาวนาน และเป็นสิ่งที่คอยเป็นตัวแทนของเราเมื่อเราจบไป ความคิดพวกนี่แหละครับ ไม่ใช่ใครอื่นเลยที่เป็นตัวกดดันให้ตัวผมเองนั้นทำงานอย่างหนักมาตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ความคาดหวังในผลงานตัวเองสูงตามมาด้วยเช่นกัน และแน่นอนครับโคตรเครียดเลย

       สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมก็คือ ในช่วงท้ายๆ ของปีการศึกษา หลังจากทำงานอย่างหนักมาตลอดหลายเดือน เวลาเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ผมเริ่มที่จะหงุดหงิดได้ง่ายมาก ซึ่งในเวลานั้นผมมักจะโทษ Environment ว่าเป็นตัวทำให้เกิดปัญหา สุดท้ายทำให้ผมปลีกตัวมานั่งทำงานคนเดียวห่างจากทีมผมเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้ามองย้อนกลับไปปัญหา Environment สามารถแก้ได้ง่ายๆ คือการปรับตัวเข้าหากัน แต่ผมเลือกที่จะปลีกตัว เพราะฉะนั้นนี่คือความผิดพลาดแรกและน่าจะเป็นสัญญาณแรกๆ ว่าผมกำลังจะ Burnout
       สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือ พอเริ่มแยกจากทีมมาแล้วการสื่อสารจะเป็นเรื่องที่ลำบากมากยิ่งขึ้นผม face-to-face กับทีมน้อยลงมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะเหลือแค่คุยกันตอน Daily scrum ผ่าน video conference และถึงแม้จะใช้ HipChat เป็น Passive communication ขึ้นมาอีกช่องทาง แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์กับทีมของผมแย่ลงเรื่อยๆ โดยที่ผมแทบไม่รู้ตัวในตอนนั้น (ซึ่งผมเข้าใจว่าทีมอาจจะไม่รู้สึกอะไรเพราะยังอยู่ด้วยกัน) สุดท้ายแล้วผมก็ระเบิดออกมาด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถึงแม้ผมจะมาคิดได้ว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นและกลับมาคุยกับทีมและโฟกัสกับงานตามปกติ แต่การระเบิดครั้งนั้นได้สร้างรอยแผลบาดลึกได้ให้กับผมและทีม สุดท้ายแล้วหลังจากทำงานแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน ก็มาถึงวันพรีเซนต์โปรเจ็คซึ่งผมและทีมสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จกับงานที่เราได้ทำกันขึ้นมาตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา แต่พอผ่านช่วงเวลาพรีเซนต์ไปแล้ว อาการ Burnout ก็ออกเต็มที่เลยครับ

       ผมปลีกตัวจากทีมแทบจะทันทีหลังจากพรีเซนต์ผลงานเสร็จ ซึ่งข้ออ้างในตอนนั้นคือ ง่วงมาก เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่สุดท้ายแล้วความคิดแย่ๆ เกี่ยวกับทีมก็จู่โจมผมเข้ามาซึ่งก็เกิดจากรอยแผลที่ผมพูดถึงในย่อหน้าที่แล้ว ผมหลับไปหลายชั่วโมงระหว่างที่เพื่อนและคนอื่นในทีมพากันไปฉลองกัน พอตื่นขึ้นมาก็จมอยู่กับความคิดแย่ๆ เดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ในวันต่อๆ มาผมแทบจะไม่ทำอะไรเลยครับ นอนหมดแรงเหมือนคนวิ่งมาทั้งวัน ไม่ทำอะไร ไม่คิดอะไร ตอนนั้นผมก็แทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะเป็นแบบนี้ ก้มมองดูโค้ดที่ตัวเองเขียนแล้วคิดอะไรไม่ออก พยายามคิดว่าจะทำโปรเจ็คอะไรใหม่ๆ ดีเพื่อให้ไม่ว่างก็คิดไม่ออก เป็นสภาวะสุญญากาศอย่างแท้จริง แทบไม่ได้คุยกับผู้คนเลยนอกจากพนักงานเซเว่นตอนไปซื้อข้าวกิน เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน
       พอผมเริ่มจะฟื้นคืนสภาวะจิตใจ (คือ ร่างกายวันเดียวก็หายเหนื่อย) ขึ้นมาได้หลายวันให้หลัง ผมก็ปฏิญาณกับตัวเองเลยว่าจะไม่ทำงานหนักแบบนี้อีกต่อไปแล้ว และเริ่มเขียนเอนทรี่นี้ทันทีแล้วก็หยุดเขียนไปหลายรอบ ลบแล้วเขียนใหม่ก็หลายรอบจนสุดท้ายมาเป็นเอนทรี่ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี่แหละครับ

       มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมครับโดยธรรมชาติ เราควรจะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น และการไม่มีปฏิสัมพันธ์หรือไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์นั่นบ่งบอกว่าเรามีปัญหาละ ทีมเราเคยไม่ใช่ไม่เคยมีปัญหาครับ เรามีปัญหากันเป็นพักๆ มาตลอดแม้กระทั่งตอนยังทำงานอยู่ที่เดียวกัน แต่การที่เราทำ Retrospective ตอนจบแต่ละ Sprint กับการคุยกันตรงๆ ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้ผ่านพ้นมันมาได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงที่เกิดปัญหาเราเริ่มจะทำงานหนักโดยไม่ได้ดูวิธีที่เราทำอยู่ว่ามันดีรึเปล่า ไม่มี Sprint ไม่มี Retro แถมยังคุยกันน้อยลงอีกปัญหาเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่โฟกัสอยู่กับงานที่ทำ
       ที่ผมเขียนมายืดยาวทั้งหมดนี้จุดประสงค์ไม่ได้เพื่อต้องการบอกว่าผมเป็นบ้านะครับ คือ หลังจากช่วงที่ฟื้นฟูขึ้นมาได้ ผมเริ่มคิดว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้และทำไงถึงจะไม่เป็นอีก มันไม่ใช่เรื่องสนุกนะครับที่อยู่ในอาการแบบนั้น ซึ่งผมสรุปได้ง่ายๆ ว่าการคุยกันน้อยลง สื่อสารกันน้อยลง เป็นสาเหตุหลักอีกสาเหตุหนึ่งนอกจากการทำงานหนัก ที่ทำให้อาการ Burnout เกิดขึ้น

       วิธีแก้ปัญหาซึ่งผมคิดว่าน่าจะป้องกันคนที่ไม่เคยเป็น Burnout หรือกำลังคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็น วิธีง่ายๆ คือ ต้องรู้จักคำว่า "พอ" และ "พัก" ครับ
       คำว่าพอ หมายถึงต้องรู้จักพอดีกับเป้าหมาย บางครั้งและหลายๆ ครั้งที่เกิดปัญหาก็เกิดจากเราตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป และมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อถึงจุดหนึ่งเราทำไม่ได้หรือได้ผลลัพธ์ที่มันไม่ตรงแล้วมันจะ Fail มาก การไม่คาดหวังมากเกินไป วิธีง่ายๆ ครับแล้วจะทำงานสนุกขึ้นและมีความสุขขึ้น
       ส่วนคำว่าพัก อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้จากเอนทรี่ที่แล้วครับ มนุษย์เรามี Cycle 7 วันมานานหลายร้อยปีแล้วและมันมีเหตุผลของมันว่าทำไมถึงต้องหยุด 2 วันต่อสัปดาห์ ช่วงที่ผมมีปัญหาเป็นช่วงที่ผมทำงานเอาเป็นเอาตายแทบไม่ได้พัก เรียกได้ว่าฝืน Cycle ดังกล่าวเต็มๆ สุดท้ายแล้วตายสิครับ ร่างกายคนมันก็เครื่องจักรมีชีวิตนะครับ ใส่สูตรอมตะไม่ได้ ต้องมีพักเพื่อรีเจนพลังขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้นแล้วการรู้จัก Limit ตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่าไปบ้าตามคำพูดว่า "ข้อจำกัดมันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง ต้องเอาชนะมันให้ได้" ชนะก็ชนะได้ครับแต่สุดท้ายก็แพ้อยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าเหนื่อยก็พัก ง่ายๆ ครับร่างกายเราบอกอยู่แล้วพยายามฟังหน่อย

       หมดแล้วครับกับสิ่งที่เรียกว่า Burnout ที่เกิดขึ้นกับผมต้องขอโทษทีมที่ระเบิดใส่และทำให้ความสัมพันธ์ของทีมเราแย่ลงจากเหตุการณ์นั้น พวกคุณสมควรได้รับอะไรที่ดีกว่านี้สำหรับการทำงานที่ดีต่อกัน ความเข้าใจกันจนเป็นทีมมาตลอดปีที่ผ่านมา และสุดท้ายผมหวังว่าใครก็ตามที่อ่านเอนทรี่นี้มาจนถึงบรรทัดนี้คงไม่คิดว่าผมเป็นบ้าไปแล้วนะครับ :p

ปล.อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมฟื้นฟูจิตใจขึ้นมาได้ก็คือหนังครับ และโชคดีมากที่ตอนนั้นผมเลือกดูหนังเรื่อง Jerry Maguire (ตัวอย่างข้างล่างครับ) ซึ่งเป็นหนังเรื่องที่ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่ง ใครกำลังรู้สึกท้อ กำลังสับสน กำลังเหนื่อยกับชีวิตลองดูเรื่องนี้ครับอาจจะช่วยให้คุณคิดอะไรได้ขึ้นมาเหมือนผมก็ได้


Comments