คำแนะนำใน Agile66 กับเรื่องของผมและอาจารย์สอนคณิตศาสตร์


       ผมจำไม่ได้แล้วครับว่าผมอยู่ในกลุ่ม Agile66 มาตั้งแต่เมื่อไร และเพราะอะไรถึงเข้าไปกลุ่มนี้ตั้งแต่แรก แต่ที่แน่นอนก็คือ ความสนใจในเรื่องอไจล์ของผมนั้นมันเริ่มจากที่นี่แน่นอนครับ อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่ผมอยู่ในกลุ่มนี้มาเกือบปี ผมไม่เคยกล้าที่จะโพสคำถามแม้แต่ครั้งเดียวครับ อาจจะเพราะด้วยนิสัยส่วนตัวที่ชอบหาคำตอบด้วยตัวเองมากกว่า แต่วันก่อนไม่รู้อะไรดลใจอยู่ดีๆ ผมก็อยากถามครับ

       ตอนผมยังไม่เหนื่อย ไม่หมดแรงยังมีความตั้งใจที่จะทำงานให้เสร็จ ผมไม่เคยคิดถึง "จังหวะของมนุษย์" ที่คุณกรพูดถึงเลยครับ แต่พอผมทำงานข้ามวันข้ามคืนตลอดสองสามวันที่ผ่านมานี้ ผมเริ่มเข้าใจแล้วครับว่ามนุษย์มันมีลิมิต มนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ครับ ถึงเราจะใจกล้าแค่ไหน แต่พอถึงจุดหนึ่งแบตเตอรี่มันก็จะหมดแล้วเราก็ต้องชาร์จมัน ซึงถ้าฝืนต่อไปแน่นอนครับเครื่องมันยังคงทำงานได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ และอาจดับไปยาวเลยก็ได้

       คุณกรอธิบายถึง Cycle ธรรมชาติของมนุษย์ว่าเรามีสัปดาห์ละ 7 วันเป็นอย่างนี้มาหลายพันปีแล้วมันก็มีเหตุผลของมันที่เราไม่ควรไปบิดโดยไม่มีเหตุผลอันดี ด้วยความบ้าระห่ำรวมถึง Deadline ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาผมพยายามจะบิดมันครับ แล้วก็อย่างที่ผมบอกไปในย่อหน้าที่แล้ว มันมีลิมิตครับแล้วเราจะเข้าใจเอง เมื่อเราถึงเส้นนั้น และสุดท้ายแล้วผมก็ต้องใช้หนี้ที่ผมอดหลับอดนอนมาหลายวัน ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วก็แทบไม่ได้ต่างกับการตื่น-ทำงาน-นอน กว่าคนปกติซักเท่าไร อย่างไรก็ตามมีอีกเรื่องที่ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับโพสนี้มากกว่าเรื่องอดหลับอดนอนครับ

       สมัยผมอยู่มัธยมต้นผมเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียนคณิตศาสตร์อย่างมากเลยครับ เพราะผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ครั้งแรกๆ ในชีวิตเช่นเดียวกัน พอผมอยู่ ม.3 คุณพ่อกับคุณแม่ผมจับผมไปเรียนพิเศษคณิตศาสตร์ (ซึ่งผมพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด) เพื่อหวังว่าจะให้ผลการเรียนของผมดีขึ้น เรื่องนี้ต้องขอบคุณอาจารย์ของผมอย่างมากเลยครับ เพราะในท้ายที่สุดแล้วผลการเรียนผมพุ่งพรวดจากเกรด 0 คณิตศาสตร์ตอน ม.2 ขึ้นมาถึง 3.5 ตอนอยู่ ม.3 และผมไม่เคยรู้สึกแย่กับวิชาคณิตศาสตร์อีกเลยครับ

       นอกจากผลการเรียนที่ดีขึ้นแล้ว การเรียนพิเศษในครั้งนี้ทำให้ผมได้สกิลติดตัวมาอีกอย่างหนึ่งและยังติดตัวผมมาจนถึงปัจจุบันนี้ อาจารย์ที่สอนผมแกเป็นอาจารย์ที่เรียกได้ว่าดุที่สุดในชีวิตที่ผมเจอเวลานั้นแล้วครับ ตอนแรกๆ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณพ่อกับคุณแม่ผมถึงต้องยอมจ่ายเงินให้ผมมาโดนด่าโดนดุอยู่ทุกวันๆ ผมโดนอยู่ทุกวันจนจากที่รู้สึกอึดอัดใจ ผมเริ่มจะฟังแล้วคิดแล้วผมก็คิดได้ว่า ถ้าอาจารย์เกลียดผมจริงๆ แกคงไม่ทนด่าทนดุได้อยู่ทุกวันหรอก แล้วผมก็เข้าใจว่าที่อาจารย์ทำอย่างนั้นเพราะอาจารย์ใส่ใจจริงๆ กับการสอน เพราะผมคิดว่าถ้าแกไม่สนใจป่านนี้แกคงไม่ดุไม่ด่าผมอยู่ทุกวันหรอกครับในตอนนั้น สุดท้ายผมเรียนพิเศษกับอาจารย์คนนี้ถึง 2 ปีก่อนที่ผมจะต้องย้ายโรงเรียนไปตามคุณพ่อคุณแม่ต่อไป แต่ผมไม่เคยลืมอาจารย์เลยครับ ด้วยความเคารพ

       หลังจากผ่านช่วงเวลานั้นของชีวิตมา ทุกครั้งที่ผมเจอใครมาสอนมาตอบแบบดุๆ ซึ่งหลายๆ คนจะเริ่มปกป้องตัวเองก่อนว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่ผมกลับมองว่าคงไม่มีใครโหดกว่าอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ผมตอนอยู่ ม.3 อีกแล้ว ผมจึงรับฟังเหตุผลทุกครั้ง พยายามทำความเข้าใจว่าเขาพยายามจะสื่ออะไร และคิดในใจว่าคงไม่มีใครโหดไปกว่าอาจารย์ผมตอนมอต้นอีกแล้ว แล้วการทำแบบนี้แหละครับ ทำให้หลายๆ ครั้งผมได้อะไรกลับมาเยอะกว่าการตั้งแง่งว่าเขาจะมาด่าเราก่อนที่เราจะฟังเหตุผลของเขา (แต่หลายครั้งก็เผลอปล่อยอารมณ์ให้ไปตามสิ่งที่เห็นแว็บแรก แต่ก็กลับมาได้เกือบตลอด)

       แล้วเรื่องข้างบนเกี่ยวอะไร คืออย่างที่ผมกล่าวไปในตอนแรกครับ ผมอยู่ในกลุ่ม Agile66 มาเกือบปี ผมเห็นคนหลายๆ คนผ่านมา ถามตอบแลกเปลี่ยนความเห็นกัน คนที่ผมกลัวที่สุดคือ คุณกรครับ และไม่น่าเชื่อว่าโพสแรกที่ผมถาม ความกลัวที่สุดของผมจะมาตอบคำถามผมด้วย แต่หลังจากสลัดความกลัวออกไปแล้ว ผมว่าในโพสนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกตรัสรู้อไจล์ขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง (ซึ่งปกติจะเกิดจากการต้องแก้ปัญหาในทีม หรือการไปฟังประสบการณ์ใน Conference) นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกในเอนทรี่นี้ ก็ต้องขอบคุณทุกคำตอบนะครับ ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย

โพสที่ผมพูดถึงตามไปอ่านเต็มๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/agile66/permalink/10152206384926998/

Comments