Seven Something



จริงๆ แล้วไม่ใช่รีวิวแต่เหมือนเป็น note ให้ตัวเองกลับมาอ่านเวลากลับมาดูอีกรอบอีกนานหลังจากนี้ ว่าตอนดูครั้งแรกมันประทับใจแค่ไหน (ถ้าอยากอ่านรีวิวจริงๆ แนะนำ
http://www.khajochi.com/2012/08/7-7-gth.html 
พี่เขาเขียนไว้ดีและละเอียดมากครับ


14 "ไอ้เหี้ย"
     โดยส่วนตัวผมไม่ชอบหนังแนววัยรุ่นแบบนี้ครับ (แต่แม่งก็ดูมันเกือบทุกเรื่อง) ด้วยความที่อยากรู้ว่ามันคืออะไร แต่หนังก็ตอบโจทย์ผมข้อนี้ว่า "มึงไม่ชอบเมิงก็กดปิดไปดิ จะมากด dislike กูทำห่าอะไรเนี่ย..." แล้วต่อด้วยประโยคเด็ดจากมิลค์ว่า "นี่แคร์ไอ่ 10000 View มากกว่ามิลค์อีกเหรอ" แล้วตามด้วยพฤติกรรมแบบวัยรุ่นไร้ประสบการณ์ การสะท้อนความคิดแบบ no reasoning ซึ่งหาได้ตามเฟสบุ๊คเป็นประจำ แต่ถึงแม้จะมีการอ้างอิง social network แค่ไหนมันก็ยังดู "เหนือจริง" อยู่วันยังค่ำ แต่เข้าใจว่าตลาดนี้ใหญ่มากต้องทำมาซัพพอร์ต แต่เป็นหนังเรื่องแรกเลยมั้งที่ใช้ Social Network เป็นประเด็นหลักตลอดทั้งเรื่องและสะท้อนภาพความจริงของสังคม ในหลายๆ บริบทซึ่งกลุ่มคนดูที่อายุมากกว่า 30 อาจจะไม่เข้าใจ ประเด็นเรื่อง Privacy และ Public ซึ่งมั่นใจ่วา 70% ของคนใช้ Social Network ยังไม่สนใจในจุดนี้ และจุดนี้ทำให้คิดถึงประโยคนึงใน The Social Network ว่า "The Internet's not written in pencil, Mark, it's written in ink." สุดท้ายหลายๆ คลิปย่อยในหนังเรื่องนี้ผมขอชมว่าสุดยอดหลายอันครับ โดยเฉพาะ "น่ารักเหี้ยๆ" ซึ่งตอนที่เห็นครั้งแรกก็ไม่รู้เลยว่าจะออกมาจากเรื่องนี้

21/28 "เธอคิดว่าเราจะกลับมารักกันอีกได้มั้ย"
         หนังเริ่มเรื่องด้วยฉากใต้น้ำซึ่งตัดอารมณ์คนดูให้นิ่งก่อนหลังจากผ่านเรื่องแรกมา แต่ปล่อยให้สงบได้ไม่นานหนังก็ตัดเข้าประเด็นทันทีเมื่อแหม่มโผล่มาข้างหน้าตู้ปลา ภาพที่เห็นแล้วสะเทือนใจภาพแรกคือตอนที่แหม่มเห็นพุงของจอน ซึ่งสะท้อนอย่างชัดเจนเลยว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป หลังจากใช้ประตูเป็นตัวเชื่อมหนังย้อมกลับไปเป็นภาพสมัยช่วง 21 ในช่วงเวลาที่เป็นช่วงสุดท้ายของความสัมพันธ์ที่ไม่เหลือซึ่งความสุขอีกต่อไปแล้ว ตามด้วยประโยคเด็ดจากแหม่ม "ก็ถ้าคนเก่ามันเวิร์คจะมีคนใหม่ทำไม" และตัดด้วยภาพตู้ปลาแตกซึ่งสะท้อนให้เห็นเต็มที่ว่าบางอย่างที่สองคนมีด้วยกันนั้นมันจบลงแล้ว หลังจากนั้นหนังตัดไปที่ฉากปัจจุบันที่แหม่มยืนยันว่าจอนไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไรเลย และภาพก็ตัดไปที่จุดที่ทำให้จอนเปลี่ยนไปในตอนรับรางวัลนักแสดงชาย ในจุดต่อมาที่แหม่มบอกว่า ชั้นว่าภาคเนี่ยะภาพมันโตขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย และภาพที่ขัดแย้งกันตามมา สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของทั้ง 2 คนว่ามันผ่านจุดที่แย่มากๆ มา ฉากที่ดูแล้วคุ้มที่สุดของเรื่องนี้คือฉากที่แหม่มกำลังนั่งรอแคสแล้วรวมนางเอกของ GTH ไว้เกือบหมด อีกฉากที่ประทับใจคือตัวอย่างหนังเรื่อง รักติดเกาะ ซึ่งให้ความรู้สึกได้เหมือนจริงมาก (แถมเอาประโยคเด็ดจาก "ยินดีที่ไม่รู้จัก" มาใส่ด้วย) ฉากที่จอนเริ่มเห็นใจแหม่มหลังจากแหม่มถูกปฏิเสธบทและย้อนกลับไปถึงช่วงที่ทั้งสองตกลงเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันจุดที่แหม่มพูดถึงสิ่งที่ตัวเองฝันที่จะเป็นต่อไปที่ทำให้คนดูฉุกคิดว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย หรือการที่จอนตัดสินใจบอกแหม่มตรงๆ ถึงสาเหตุที่มารับบท ตามมาด้วยฉากปัจจุบันที่แหม่มบอกว่าเป็นโอกาสสุดท้าย


     จุดพีคที่สุดของเรื่องนี้อยู่การซ้อมบทรักติดเกาะ2 ซึ่งในรอบแรกนั้นถึงแม้ว่าจะแข็งแต่สิ่งที่ตรึงคนดูไว้เพราะบทพูดนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับชีวิตที่สองคนนี้ต้องอยู่ในความเป็นจริง ฉากที่ทั้งสองจ้องตากันตอนถ่ายรักติดเกาะ (ฉากนี้ขอชมว่าแสงสวยมาก) เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ความแข็งซึ่งในตอนนี้เป็นใจของจอนอ่อนลง หลังจากนั้นการซ้อมบทรอบ 2 กลายเป็นการเล่นกับเสียงและความรู้สึกรวมกับบทพูดซึ่งกินใจอยุ่แล้ว บีบคั้นอารมณ์ของคนดูให้คล้อยตามอย่างรวดเร็ว (ชอบหน้าซันนี่กับคริสตอนนี้มาก) ซึ่งทำให้น้ำตาผมไหลในรอบหลายเดือนเลย
- เราเจอเธอ รุ้จักเธอ รักเธอ ทะเลาะกับเธอ เลิกกับเธอ เกลียดเธอ ก็เพราะหนังเรื่องนี้ ที่เราไม่อยากกลับไปเล่น เพราะเราไม่อยากกลับไปรักเธออีก
- เธอคิดว่าเราจะกลับมารักกันอีกได้มั้ย / ประโยคนั้นชั้นต้องเป็นคนถามไม่ใช่เหรอ
- หนังใช้วัตถุต่างๆ กันในการเชื่อมจุดระหว่างอดีตและปัจจุบันเช่น ประตู, ไมโครโฟน, บทหนัง , คำว่าเกลียด, การขึ้นจากน้ำ, จูบ
- ดูแล้วอยากไป Siam Ocean World เลย
- คริสตอนฉากปิดกล้องรักติดเกาะน่ารักมาก


42.195 "หนังคาซัคสถาน ที่ไม่ได้มีแค่มาราธอน"
- เสียงบรรยายถึงผมจะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่มันฟังดูคุ้นเคยอย่างประหลาด
- เพลงในสวนเล่นถึงท่อน but now you come alone หลังจากนั้นเจ๊ก็ไม่ alone อีกต่อไป
- คำพูดของเจ๊แสดงถึงวุฒิภาวะอย่างชัดเจน
- เวลามีบานเบอะ => ใช้เท่าไรก็ไม่หมดไง
- รองเท้าสวยมาก
- คุณคิดว่าชั้นวิ่งมาราธอนได้มั้ย / ก็ทำไมไม่ลองดูหละครับ
- ฉากคลาสสิกที่นางเอกต้องหันกลับมามองไม่พร้อมกับพระเอกก็ปรากฏในหนังเรื่องนี้
- ภาพจุดพลุ+เสียง สร้างความหวังให้หัวใจพองโตเป็นอย่างมาก
- จะเหนื่อยแค่ไหนพรุ่งนี้มันก็วันใหม่แล้วคุณ
- คุณไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองให้มาทำอะไรที่คุณไม่อยากทำหรอก
- นิชคุณแต่ละคำเมิงหล่อมาก !
- แต่ละคำใน "โลกใบใหม่" สอดคล้องกับจังหวะของหนังมาก
- และ Turning Point นั้นโถมเข้ามาเป็นชุดทั้งฝน, เราไม่ใช่คนเดิมแล้วนะและข่าวเครื่องบินตก
- นอกจากจะเด็กแล้วยังหน้าตาดีอีกด้วย
- ฉากในบันไดหนีไฟและทั้งสองคนพูดกันตรงๆ เป็นฉากที่พีคที่สุดของเรื่อง
- ไม่ดูหนังมากก็เด็กมาก
- ขณะหล่อนกำลังใจเต้น ช้อนทำให้หล่อนตกใจได้ !

สรุป
- เป็นหนังที่มีรายละเอียดเยอะมาก ดูรอบแล้วคิดว่าจับได้เยอะแล้ว ดูรอบ 2 จะจับได้เพิ่มขึ้นอีกเยอะ
- เรื่อง 14 เป็นหนังที่ผมดูแล้วทำให้ผมคิดถึงน้องรหัสตัวเองครับ !
- แต่ละคลิปในเรื่องนี้ไอเดียสุดยอดมากครับ
- ผมให้คำนิยามว่าหนังวัยรุ่นเท่ห์ๆ ละกัน
- ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple ทั้งเรื่องตั้งแต่ iphone ยัน iMac
- แต่เพลง "เธอคือของขวัญ" ก็เพราะมาก
- เรื่อง 21/28 เป็นเรื่องที่เริ่มมาผมรู้เลยว่าต้องมีบางอย่างและพอดูจบก็ชอบมากที่สุดจาก 3 เรื่อง
- เหตุผลไม่มีอะไร แค่มันคล้ายกับชีวิตตัวเอง
- ซันนี่เล่นดีมาก โดยเฉพาะสีหน้าเรียบเฉยที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ทำให้คนดูคิดว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเสมอ
- คริสก็เล่นดีมากๆ โดยเฉพาะเสียงอ้อน (แต่ตอนจะร้ายก็คมมากเช่นกัน)
- เรื่อง 42.195 เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดเยอะมากในหลายๆ จุด
- หนังพยายามสร้างแรงบันดาลใจในหลายๆ อย่างแต่ผมไม่รู้สึกหรือรู้สึกก็น้อยมากกว่าที่คาดหวังไว้
- ผมมีประสบการณ์กิโลเมตรที่ 35 เหมือนกันครับแต่เป็นจักรยานและตอนนั้นผมก็ตอบมันเหมือนกัน
- ผมสรุปไว้ข้างบนหมดแล้วสำหรับเรื่องที่ 3
- เพลง "อยากรักต้องไม่กลัวคำว่าเสียใจ" ผมชอบมานานมากและแปลกใจมากที่เป็นเพลงประกอบเรื่อง


     เป็นหนังที่ผมรู้สึกดีมากที่สุดในรอบหลายเดือน กับมุมมองในชีวิตหลายๆ ด้านและผมอายุ 21 ด้วยปีนี้ ซึ่งตลอดเกือบทั้งปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ผมผ่านเรื่องยากๆ หลายจุดในชีวิต มากกว่าปีไหนๆ ตั้งแต่เรื่องเรียน , ความรัก, กิจกรรม หลายๆ เหตุการณ์ได้ทิ้งบทเรียนที่ไม่มีวันลืมให้กับผม ซึ่งผมเห็นด้วยเลยว่าเป็นจุด Turning Point ของชีวิต ในปีนี้ผมรู้สึกเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มากกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมาจริงจังกับชีวิตมากขึ้น ใส่ใจกับอนาคตมากขึ้น มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้ใหญ่ทั้งๆ ที่ตอนเด็กๆ อยากจะเป็นมาตลอด แต่พอถึงจุดนี้ผมก็ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว

Comments