Emergent Leadership: The Most important thing I learn in the past 3 years

Image source: https://www.businessillustrator.com/smart-employees-sketchnotes-from-a-talk-by-laszlo-bock/

ก่อนที่จะเขียนบล็อกนี้นี่คิดอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ 3 ปีที่ผ่านมายังไง คือมันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลากหลายมากจนไม่รู้จะเล่าเรื่องไหนก่อน โชคดีที่เมื่อวานไม่รู้คุยกันแบบไหน เรื่องนี้มันก็ถูกยกขึ้นมาแล้วพอมองย้อนกลับไป นี่แหละเรื่องนี้แหละคือ Once in a life time story เลย แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังในบล็อกนี้อีกรอบครับ

Traditional Leader

ก่อนที่จะพูดถึงคำว่า Emergent Leadership ต้องย้อนกลับไปถึง Traditional Leader ก่อน ก่อนหน้านี้มาตลอดชีวิต (ใช่! ต้องใช้คำว่าตลอดชีวิต) ผมมีความเชื่อว่าถ้าเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้ได้ เราต้องมี Power และการจะมี Power ได้เราต้องมี Role ต้องมีตำแหน่ง หรืออะไรก็แล้วแต่นะ ในการที่จะมอบ Power ให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้


พอเราเชื่อแบบนี้แล้วเนี่ย วิธีการแก้ปัญหาของผมมันเลยเป็นเหมือนเดิมมาตลอดคือ ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นใหม่ที่ไหน กับทีมใหม่ที่ไหน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราจะหาช่องที่จะทำให้เราไปอยู่ในจุดที่สูงที่สุดให้ได้ เพื่อที่เราจะได้มองลงมาแล้วเราจะสามารถบอกได้ว่า นี่ไปทางซ้ายสิ ไปทางขวาสิ โดยไม่ต้องกังวลกับผลลัพธ์ของการตัดสินใจมากนัก (เพราะมันขึ้นมาสูงแล้วไง)

นอกจากนี้ผมบอกเลยว่า พอเรามี Role มีตำแหน่ง อยู่ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็น Senior, Lead, Manager หรืออะไรก็ตามติดหลังอยู่ เราจะมีความมั่นใจมาก (แต่ตอนนั้นยังไม่รู้สึกนะ) เวลาเราออกไปเจอคนอื่น ซึ่งอันนี้พอผมมามองย้อนกลับไปมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะโครงสร้างอำนาจทางสังคมที่ผมโตมาตลอดชีวิต มันนำให้เราต้องทำแบบนี้

My Story

ยังครับ ยังไม่ถึง Emergent Leadership เพราะพูดเลยอาจจะไม่เห็นภาพ ผมเลยจะมาโม้เรื่องราว Once in a life time ของผมและสิ่งที่ผมเพิ่งมาเรียนรู้ใน 3 ปีที่ผ่านมาให้ฟัง แต่ถ้าอดทนอ่านไม่ไหวอยากรู้ว่า Emergent Leadership คืออะไร ข้ามไปหัวข้อถัดไปได้เลยครับ

ย้อนกลับไปทีมแรกในเรื่องราวนี้ เรามีภารกิจต้องส่งมอบซอฟท์แวร์ตัวนึงซึ่ง ทั้งทีมไม่มีประสบการณ์ทำทั้งหมดเลย และยิ่งกว่านั้นคือไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง สิ่งที่ผมตัดสินใจทำในเวลานั้นคือ "เราต้องเป็นคนนำทุกอย่างเอง เพราะเราเชื่อว่าเราเก่งที่สุด" (ขึดเส้นใต้คำนี้เลย) ซึ่งโอเคมันทำให้งานมันเดินหน้าไปได้ แต่ผมเหนื่อยมาก เพราะพอเราเชื่อแบบนี้ เราเลยคาดหวังสูงมากในสิ่งที่เรานำคนในทีมไป แล้วพอทีมทำไม่ได้ในสิ่งที่เราหวัง การผิดหวังสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ มาวันนึงมันก็ระเบิดออกในวันสุดท้าย ซึ่งมันควรจะเป็นวันที่เราฉลองความสำเร็จ แต่กลับผิดหวังแทนและเราจมอยู่กับความผิดหวังนั้นนานใช้ได้เลย


ทีมที่สอง ต้องบอกว่าผมก็ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปเลย เพราะเราได้เริ่มต้นใหม่และเราเด็กที่สุด เราก็ทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่พอถึงจุดนึงช่วงใกล้ๆ จะทำงานครบปีแรก มันมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์มากที่ทำให้มันวนกลับมาตั้งคำถามว่า "เราจะอยู่รอดได้ยังไง"​ ซึ่งพอระบบมันตั้งคำถามแบบนี้ คำตอบอัตโนมัติ มันเลยเป็นคำตอบเดิมว่า "เราต้องเป็นคนนำทุกอย่างเอง เพราะเราเชื่อว่าเราเก่งที่สุด" พอคำตอบเป็นแบบนี้ตอน Review Performance สิ่งที่ผมทำคือ ผมบอกหัวหน้าผมว่า ผมอยากเป็นลีดนะ แล้วก็บอกเหตุผลกับเรื่องราว 1 2 3 4 หัวหน้าก็คุยกันอยู่แปปนึงสองคน แต่สุดท้ายผมก็ได้ Role นั้นมาและเป็นสิ่งที่ผมเข้าใจว่าผมได้ Power สำหรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว

แต่ครั้งนี้ต่างออกไปจากทีมแรกที่พูดถึงข้างบน ความสัมพันธ์ของผมกับคนในทีมมันไม่ได้สร้างมาแบบนั้นแต่แรก เราเป็นเพื่อนกันมาตลอด แล้วอยู่มาวันนึงเราต้อง step up ขึ้นมา ตอนนั้นผมจำได้เลยว่าผมทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าต้องทำไง แต่ตอนนั้นดันมีความเชื่อผิดๆ ประมาณว่าเราต้องไม่เหมือนเดิม พอผ่านมาผมเลยเริ่มที่จะวางตัวอีกแบบกับเพื่อนร่วมทีม แล้วลึกๆ ผมอึดอัดมากเพราะเชื่อว่าเราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ถ้ามามองย้อนกลับไปตอนนี้ผมเดาว่าทำแบบนั้นไปเพื่อที่จะให้คนรอบตัวรู้ว่าผมมี Power นะ อะไรแบบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดมาก เพราะมันไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย กว่าผมจะรู้ตัวเรื่องนี้ก็ผ่านมาซักพักนึงแล้วพี่ในทีมก็ให้ Feedback มาว่า ผมเปลี่ยนไปนะ ทำแบบนี้มันไม่โอเคนะ นั่นแหละผมเลยเข้าใจเรื่องนี้แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิม


ทีมที่สาม นี่แหละที่เรื่องราวมันจะต่างออกไปจากที่ผ่านมา ด้วยระบบความคิดที่ยังเชื่อว่า เราต้องมี Power และ Role นะถึงจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และเราต้องไปอยู่ในจุดสูงสุดเราถึงจะบอกได้ว่าไปซ้ายสิ ไปขวาสิ ทุกการกระทำมันเลยออกมาคล้ายๆ หนังม้วนเดิมจากสองทีมที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ทีมไม่ได้เออ ออ ห่อหมกไปกับผมทุกเรื่องอีกแล้ว ผมโชคดีมากที่ทีมที่นี่คุยกันด้วยเหตุผลเยอะมาก แต่ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจหรอก สิ่งที่ผมเข้าใจตอนนั้นคือ สิ่งที่เราต้องการมันไม่ได้รับการตอบสนอง แล้วสิ่งที่แย่กว่าเข้าใจแบบนั้นคือการตัดสินใจว่า "อยากทำอะไรทำเลย เราจะไม่ออกความเห็นแล้ว" ซึ่งในความคิดเนี่ย มันคือความต้องการการรับฟัง แต่ผมเข้าใจว่าทีมไม่ได้รับฟังผมอีกแล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่เข้าใจผิดไปไกลมาก

สิ่งที่แย่กว่าการเข้าใจแบบนั้น การตัดสินใจแบบนั้นคือสิ่งที่ผมทำหลังจากนั้นอีกครับ ถึงแม้ผมจะพยายามปกป้องตัวเองด้วยการไม่ออกความเห็นกับเรื่องต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่มันโกหกไม่ได้คือสีหน้าของผมเอง ซึ่งมันออกมาเองโดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ทีมรู้สึกแย่กับผมมากจนกว่าผมจะมารู้ตัวก็คือ Review performance แล้วที่มีเพื่อนร่วมทีมเขียนออกมา ณ​ จุดนั้นผมบอกเลยว่าผมรู้สึกว่าผมไม่เหมาะกับที่นี่ละ มันต้องออกละเพราะธรรมชาติเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้เก็บอะไรไว้แบบนี้ และผมรู้เลยว่าถ้าเก็บไว้ต่อไปมันระเบิดแน่ๆ เหมือนในเรื่องแรกข้างบน และผมอยู่ในสภาวะแบบนั้นนานมาก มากจนในบางครั้งผมก็ถามตัวเองว่า ผมมาทำอะไรที่นี่

ทีมที่สี่ ก่อนจะมาถึงทีมที่สี่ต้องบอกเลยว่าสภาวะที่อยู่ก่อนหน้านั้นมันทำลายความมั่นใจทุกอย่างที่ผมเคยเชื่อไปเยอะมากและ Review performance จังหวะก่อนที่จะมาอยู่กับทีมที่สี่นี่คือจุดเปลี่ยนเลย ถ้ามามองย้อนกลับไปผมว่าครั้งนี้แหละที่ผมเปิดรับทุก Feedback แล้วจะเอาไปแก้ให้หมด เพราะมันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แล้วต้องการหาทุกทางที่จะออกจากสภาวะก่อนหน้านี้ไปให้ได้


ภาพข้างบนเป็นหนึ่ง lane ในบอร์ด Trello ส่วนตัวของผมซึ่งผมกลับมาดูมันบ่อยมากในปีนั้น มันตอบคำถามหลายๆ อย่างจากหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาตั้งแต่ผมเล่ามาข้างบนได้ว่า ผมควรจะคิดยังไง ผมบอกเลยว่า ตอนนี้ถ้าอ่านเราจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่อะไรที่มันซับซ้อนเลยใช่มั้ยครับ แต่ในเรื่องราวที่ผ่านมาก็น่าจะเห็นแล้วว่าเรื่องแบบนี้ ถ้ามันไม่มีใครมาบอก มา Feedback ผมบอกเลยว่า ยังไง ก็มองไม่เห็นครับ ก็เห็นแล้วนี่ว่าผมมองไม่เห็นมานานแค่ไหน

ผมวาง Role และความอยากได้ Power อะไรทิ้งออกไปเยอะมาก แล้วเลือกที่จะเริ่มต้นใหม่หมด แต่ไม่ใช่วิธีเดิมอีกต่อไปแล้ว ผมไม่ได้เชื่อแล้วว่า เราทำ เราเก่ง เราจะได้ Power แต่กับทีมนี้ หลังจากที่อยู่มาความคิดมันเปลี่ยนไปเป็น เราเชื่อว่าเพื่อนร่วมทีมเราจะทำได้และเราจะช่วยเค้าเต็มที่เพื่อให้เค้าทำได้ (โดยที่เราไม่เป็น Hero) อาจจะฟังดู Abstract แต่ผมมีตัวอย่างง่ายๆ ครับ สมมติคนในทีมติดอะไรแล้วขอความช่วยเหลือ ก่อนหน้านี้ผมสารภาพเลยว่าเวลาเห็นคนพิมพ์ช้า พิมพ์ผิด พิมพ์ถูก ผมจะรำคาญมากแล้วจะ end up ด้วยการแย่งคีย์บอร์ดคนๆ นั้นมาพิมพ์เอง เพื่อให้มันผ่านไปได้ แต่พอเราเชื่อว่า เพื่อนร่วมทีมเราจะทำได้ มันยากมากที่ผมจะหยิบคีย์บอร์ดมาพิมพ์เองเลย แต่จะเอาใจช่วยให้เพื่อนร่วมทีมของผม ทำเรื่องนั้นสำเร็จได้ด้วยตัวเอง แล้วผมบอกเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยจนผมเห็นผลตามมาเลยครับ


สิ่งที่ผมเรียนรู้อีกอย่างนึงในทีมนี้คือ การฟังครับ และผมบอกเลยว่าตอนอยู่กับทีมนี้ใหม่ๆ ผมยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้ คือพอเราเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่าคนในทีมส่วนใหญ่ สมองเราจะตอบสนองกับคำถามต่างๆ ของคนอื่นไวมาก เพราะเราอาจจะเคยผ่านเรื่องประมาณนี้มาแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่คนในทีมนี้จะย้ำกันเสมอคือ ยิ่งถ้าเราเป็นพี่มากเท่าไร เรายิ่งต้องพูดให้ช้ากว่าคนอื่น ไม่งั้นคนอื่นก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย และไม่ว่าไอเดียนั้นจะเหมือนกับความคิดเรามากแค่ไหน แต่มันมีความต่างกันมากระหว่างที่คนนั้นพูดไอเดียนั้นเอง หรือเราเป็นคนพูดไอเดียนั้นเอง ผมมีสถานการณ์สมมติสำหรับคนเป็นพี่ที่น่าจะเคยเจอคือ เวลาทีมต้องการไอเดียอะไรซักอย่างแล้วเราเป็นพี่สุด น้องโดยอัตโนมัติจะหันมาหาพี่ก่อนเสมอ ณ จุดนั้นเราจะทำยังไงครับ?

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมบอกเลยว่า พอเห็นคนหันมาอย่างนี้ผมจะรู้สึกเลยว่าเรามี Power ละและทีมคาดหวังเราอยู่ เราต้องไม่ทำให้เค้าผิดหวังซิ แต่นั่นคือ Hero ครับ ตอนผมรู้ตัวเรื่องนี้ผมก็เลยคิดค้นวิธีหลบเรื่องนี้ขึ้นมาคือ จังหวะที่ทีมหันมาหาผมทั้งทีม แทนที่ผมจะแก้ปัญหา ผมหันไปถามคนในทีมซักคนแทนด้วยคำถามง่ายๆ ว่า "เราคิดว่าไง" ง่ายๆ อย่างนั้นเลยครับ และเวิร์คทุกครั้ง ฮ่าๆ

ผมโชคดีมากตอนที่ผมมาอยู่ทีมที่สี่เราให้ Feedback กันบ่อยมากครับทั้ง 1:1 หรือ Retrospective เราจะรู้ตัวเองตลอดว่าสิ่งที่เราทำไปมันส่งผลกระทบแค่ไหน และเพราะการให้ Feedback ตลอดนี่แหละ เลยเป็นเครื่องยืนยันว่าผมเปลี่ยนความคิดไปแล้วจริงๆ มันมีเหตุการณ์นึงที่ยืนยันเรื่องนี้คือ มีครั้งนึงผม Vacation leave ไปหลายวันมาก แล้วหลังจากผมกลับมาแปปนึงก็ Retrospective พอดี แล้วน้องในทีมก็ให้ Feedback มาประมาณว่า "ขาดผมไปรู้สึกเหมือนขาดที่พึ่งทางใจ" จังหวะที่ผมเห็นโพสอิทใบนี้ ผมคิดในใจเลยว่า "ชิปหายแล้ว! เราเผลอเป็น Hero อีกแล้วเหรอวะ" ซึ่งผมมั่นใจเลยว่าถ้าเป็นผมก่อนหน้านี้ผมน่าจะยิ้มอยู่ในใจว่าเราได้ Power มาละ แต่จุดนี้ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่ได้อยากได้ ผมอยากให้ทีมทำงานกันเองได้ แล้วผมจะได้ไปทำอย่างอื่นที่ผมอยากทำ

Emergent Leadership

พออ่านมาถึงจุดนี้ก็ยังอาจจะเกิดคำถามอยู่ว่าแล้วสรุป Emergent Leadership นี่มันคืออะไรกันแน่ ถ้าสรุปเอาแบบนิยามสั้นๆ ที่ผมเข้าใจคือ สภาวะผู้นำที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติครับของทีมซึ่งทุกคนในทีมสามารถเป็นผู้นำในเรื่องหนึ่งๆ ได้และเป็นผู้ตามในอีกเรื่องหนึ่งได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งต้องบอกว่า สาเหตุที่ผมไม่พูดนิยามมันตั้งแต่แรก แต่เลือกที่จะเล่าเรื่องมายาวมาก เพราะว่ามันยากที่จะเข้าใจมากครับว่าผู้นำที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันเกิดขึ้นได้ยังไงและมันยังสามารถตีความไปได้อีกหลายแบบมากๆ
หน้าที่ของ Emergent Leadership ในแบบที่ผมเข้าใจคือเราจะไม่ชี้ว่าไปซ้ายไปขวานะ แต่เราจะมีหน้าที่ทำให้ทีมเข้าใจว่าไปซ้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไปขวาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจอยู่ที่ทีมครับว่าจะไปทางไหน ซ้ายหรือขวา ซึ่งสุดท้ยแล้วมันอาจจะไม่ตรงกับที่เราคิดก็ได้ แต่สิ่งที่เราได้มาคือ ทีมได้ Ownership ของการตัดสินใจนั้นไปเลยโดยที่ไม่ต้องมาเกิดคำพูดทีหลังว่า นี่ถ้าตอนนั้นเราไปแบบนี้นะ...​ เพราะทุกคนตอนนี้รับผิดชอบร่วมกันไปแล้ว แล้วทุกคนจะมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ให้เกิดผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับตัวเองและทีม ด้วยเป้าหมายเดียวกันไปโดยอัตโนมัติเลยครับ


Trust-Respect-Honest

ต้องบอกว่าหลังจากเรื่องราวทั้งหมดผมเลยเข้าใจคำว่า Emergent Leadership ครับ แต่บอกได้เลยว่าคำๆ นี้ไม่ได้อยู่ในหัวเลย ต้องบอกว่าพอความเชื่อเรื่อง Traditional Leaders ผมโดนทำลายลง ในหัวผมเริ่มพัฒนาความเชื่อขึ้นมาใหม่ครับ จิงๆ ต้องบอกว่าสภาพแวดล้อมทำให้ผมเชื่อเรื่องนี้ด้วย แล้วผมสรุปออกมาเป็น 3 value ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน

อย่างแรกเลยคือ Trust ครับ จากโมเม้นต์ที่ผมเชื่อว่าผมเก่งที่สุดไปจนถึงทีมติดปัญหาแล้วผมไม่จับคีย์บอร์ด อันนี้คือพัฒนาการเรื่อง Trust เลยครับ คือผมคิดว่าเราควร "เชื่อใจ"​ เพื่อนร่วมทีมให้มาก เชื่อว่าเค้าจะทำงานได้สุดความสามารถที่เค้ามีเพื่อที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ไปได้

อย่างที่สองคือ Respect ครับ อันนี้ผมเชื่อว่า ไม่ว่าเค้าจะเพิ่งมาทำงานใหม่ๆ หรือเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ประสบการณ์โชคโชน การที่เรา "ความเคารพ"​ ในความคิดเห็นของทุกคนสำคัญมากครับ เพราะเราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอและเราอาจจะเจอทางที่เราคาดไม่ถึงก็ได้

อย่างที่สามคือ Honest ครับ ต้องบอกว่าตอนแรกผมคิดได้แค่ 2 ข้อบนมานานมากแต่ก็รู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันขาดไปจนมาเจอข้อนี้ครับ การที่เรา "ซื่อสัตย์" กับตัวเองว่าเราจะทำงานเต็มความสามารถที่เราทำได้ เราจะแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เราคิดจริงๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันช่วยให้ทีมสามารถไปต่อได้ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งครับและทำให้เราไม่ต้องมาเสียใจกับการตัดสินใจต่างๆ ทีหลังครับ

และผมขอเสริมทั้งสามข้ออีกว่า ทุกข้อที่ผมพูดมานี่ Go both way ครับคือของแบบนี้เราทำคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนในทีม แต่ผมก็เชื่อว่าเราไม่ต้องรอให้คนอื่นเริ่มก่อนก็ได้ครับถ้าอยากได้สิ่งนี้ เราเริ่มจากตัวเองก่อนได้เลย และถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ go both way เราก็ยังสามารถไว้อาลัยกับความต้องการเหล่านี้ของเราได้อยู่ครับ


สุดท้ายแล้วต้องขอบคุณพี่เก๋ พี่กานต์ และทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในเรื่องราวที่ผ่านมาที่สอนให้ผมรู้จักคำนี้ และทำให้ผมแขยงคำอย่างเช่น Senior, Lead, Manager ฯลฯ ไปอีกนานเลย

Comments

Unknown said…
Such a valuable lesson! Great story and reflection krub