ไม่มีที่มา



1
       เคยรู้สึกว่าเราไม่ได้ควบคุมชีวิตตัวเองมั้ยครับ ถ้าขณะนี้คุณกำลังตอบตัวเองว่าใช่ คุณไม่ใช่คนเดียวที่ประสบปัญหานี้ครับ สำหรับผมแล้วปัญหาพวกนี้เกิดจากการที่เราใส่ใจความคิดของคนอื่นมากเกินไปครับ ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งในความฝัน เรามักจะได้ยินเสียงของคนอื่นอยู่ตลอดเวลาครับ ถ้าเราเป็นคนแบบนั้น
       จุดที่ผมเริ่มรู้สึกว่าควบคุมชีวิตตัวเองไม่ได้คือ จุดที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขอยู่กับสิ่งที่ทำครับ งานเยอะไปบ้าง นอนน้อยบ้าง ไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำบ้างเช่น เล่นเกมส์ หรือดูหนังที่อยากดู เสียงของการอยากทำสิ่งที่ "ต้องการทำ" มันจะเรียกร้อง ดังขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนถึงจุดนึงมันจะระเบิดออกมาครับ จุดนั้นที่ว่าคือช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา

       ช่วงสงกรานต์ผมแทบไม่ได้หยุดเลยครับ ในขณะที่เราเห็นคนอื่นกลับบ้านไปเจอเพื่อน เจอครอบครัว ผมนั่งทำงานอยู่กรุงเทพ เหงาๆ บางวันที่เป็นวันหยุดนี่แทบไม่ได้คุยกับมนุษย์คนไหนต่อหน้าเลย มันเป็นความรู้สึกที่เหงาจริงๆ ครับ เหงาจนแทบจะทนไม่ไหว ต้องเปิด Podcast หรือเสียงมนุษย์อยู่เป็นเพื่อน
       หลังจากผ่านช่วงสงกรานต์มาได้ ผมจองตั๋วกลับบ้านเลยครับ ไม่สนเลยว่าราคาเท่าไร สนอย่างเดียว ต้องได้กลับบ้านผมทนไม่ไหวแล้วกับความเหงา และความเบื่อที่เป็นผลพวงจากความเหงา จริงๆ มันก็ดีขึ้นนิดนึงตอนหลังจากสงกรานต์แล้วกลับมาทำงานปกติ ได้เจอคนในออฟฟิสบ้าง แต่อะไรที่มันเสียไปแล้ว มันก็เสียไปแล้วครับ ความรู้สึกว่างเปล่าที่ผมรู้สึกในช่วงสงกรานต์ มันยังเกาะกินอยู่ จนกระทั่งผมกลับบ้าน

       วันที่ผมได้กลับบ้านเป็นวันที่ผมรู้สึกโล่งที่สุด ในรอบหลายเดือนเลย ผมประกาศให้ทุกคนรู้ทันทีว่า กูได้กลับบ้านแล้วโว้ย เป็นความรู้สึกที่อิสระเหี้ยๆ และด้วยความที่เป็นคนชอบนั่งเครื่องบินมากๆ ยิ่งรู้ว่าได้นั่งริมหน้าต่างนี่ ผมแทบจะกระโดดตัวลอยเลยทีเดียว
       แต่ยังไม่ทันได้กระโดด พอขึ้นเครื่องแล้ว ที่นั่งที่ผมคิดว่าจะพาความสุขมาให้ผมตลอดทางกลับบ้าน กลับโดนขอสลับที่ ด้วยความที่เป็นคนดีและรักเด็ก ผมจึงยอมให้สลับที่นั่งกับแม่และเด็กวัยไ่ม่กี่ขวบ ยังเสียใจกับความเป็นคนดีของตัวเองไม่หาย คุณสุภาพสตรีเก้าอี้หน้าก็บรรจงเอนที่นั่งมาชนหน้ากระผมขณะกำลังนั่งก้มหน้าให้กับชะตากรรมคนดีของตนเอง ผมหันไปพูดกับคุณสุภาพสตรีอย่างสุภาพว่า เครื่องยังไม่ขึ้น อย่าเพิ่งเอนเบาะนะครับ แล้วก็นั่งหัวร้อนกับความสุภาพของตัวเองต่อไป




2
       กลับบ้านไปแล้ว ผมโคตรมีความสุขเลยครับ อยากนอนตอนไหนก็นอน อยากเล่นคอมตอนไหนก็เล่น ปิดสแลค ปิดไลน์ ปิด GitHub เป็นช่วงเวลาที่นอกจาก Facebook ผมก็แทบไม่สนใจ อย่างอื่นเลย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มทุ่มเทเวลากับการเล่น Cities Skylines โคตรๆ เล่นลืมกินข้าว เล่นลืมเวลานอนไปเลย
       พอได้ใช้ชีวิตในแบบที่อยากใช้แล้ว ใช่ครับ ให้เลือกใช้ชีวิตเพื่อเล่นเกมทั้งวัน บางครั้งมันก็อยากนะเว้ย ผมก็ถึงจุดอิ่มตัว ผมเริ่มมองหาเป้าหมาย ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นคิดไม่ออกนะ สุดท้ายพอไม่รู้จะทำอะไร ก็วนกลับไปเล่นเกม ไม่ก็ดูหนังที่อยากดูอีก เริ่มรู้สึกว่าชีวิตเริ่มว่างเปล่าอีกละ แต่เป็นความว่างเปล่าจากการได้ใช้ชีวิตในแบบนั้น

       กลับมากรุงเทพ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำมาแล้วหลายเดือน ผมไปฟิตเนสครับ ฮ่าๆ ผมเกือบลืมไปแล้วว่าความรู้สึกของการออกกำลังกายเหนื่อยๆ เหงื่อท่วม แล้วหายใจหอบๆ นี่มันดียังไง แต่วันนั้นผมก็ยังออกไม่สุดนะ คือรู้ตัวเองเลยว่าไม่สุด มันยังเหลือพลัง แล้วกลับมาแบบหงุดหงิด เพราะรู้สึกว่าตัวเองเคยทำได้ดีกว่านี้
       สองสามวันต่อมาผมกลับไปใหม่ คราวนี้กลับไปทำในสิ่งที่เคยทำ เดินชันไงครับ ตอนแรกชิวมากโหย แต่ก่อนทำไมจำได้ว่ามันเหนื่อยวะ ชัน 15 ความเร็ว 6 เดินสักพักละยังไม่เหนื่อยเลย ก็ยังเดินได้นิ ผ่านไป สิบห้านาที ความเหนื่อยที่โหยหา ที่ไม่ได้เจอกันมานานมันถาโถมเข้ามาไม่หยุด หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า เห้ยลดหน่อยได้มั้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา แต่ตอนนั้นเสียงในหัวอีกเสียงก็เถียงกลับไปว่า เห้ยเดินมาขนาดนี้แล้ว จะยอมแพ้แล้วเหรอ ผมเชื่อไอตัวหลังครับ แล้วก็กัดฟันเดินต่อไปกับอีเสียงหลัง จนครบ 45 นาที ตอนลงจาก Treadmill จำได้ว่าขาเบาไปเลย แบบที่ไม่เคยเบามาหลายเดือน มันเป็นความเจ็บปวดในความสุข ที่รู้สึกว่าเราได้ทำจนสุดแล้ว


3
       มีสิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ในช่วงเวลาหลังจากนั้นอีกนิดหน่อยคือ ถ้าเราอยากได้อะไรมากๆ เนี่ย อดใจไว้หน่อย อย่าเพิ่งใจร้อน คิดเยอะๆ แล้วพอเราได้แล้ว เราจะไม่มีความอยากได้อะไรอีกเลย
       ผมอยากได้โต๊ะใหม่มากครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ โต๊ะ นี่แหละครับ เพราะว่าโต๊ะคอมปัจจุบันมันเล็กเกินกว่าจะวางคอมสามเครื่องแล้วนั่งทำงานได้สะดวกๆ ดูมาหลายเดือนมากสุดท้าย วันที่ได้ไป IKEA เหมือนได้ปลดปล่อย โต๊ะตัวที่เล็งไว้ไม่ได้ซื้อ แต่ดันไปได้โต๊ะตัวที่ดูดีมากแล้วชอบมากรุ่น TARENDO นอกจากโต๊ะแล้ว ผมยังได้ตู้แถมมาด้วย และหลังจากนั้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อยู่เอกมัย มาที่ผม Renovate หอตัวเอง จริงๆ ก็แค่เอาของไปทิ้ง แล้วก็ ประกอบโต๊ะให้เข้ามุมใหม่ สุดท้ายผมได้มุมโต๊ะทำงานใหม่ที่มองหน้าต่างได้ แม้ว่าวิวมันไม่ได้สวยมากมายอะไร แต่การได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ มันทำให้เราอยากจะอยู่กับมันมากขึ้น หาความสุขกับมันมากขึ้น จนผมมีไอเดียใหม่ๆ เกิดขึ้นในหัวที่อยากทำเต็มไปหมด แค่เปลี่ยนมุมนั่ง แค่นั้นเองง่ายๆ


       ถ้าได้สาระอะไรจากที่อ่านๆ มาข้างบน ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ คือตอนที่เขียน ณ ขณะที่พิมพ์อยู่นี่ยังคิดหาสาระอะไรไม่ได้เลย จริงๆ วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ได้อยู่ดึกที่ออฟฟิส แปลกดีที่ แทนที่มันจะเครียดมาก มันกลับเครียดน้อยกว่าที่คิด (จะบอกว่าไม่เครียดเลยก็ไม่ใช่ เพราะจะปิดสปรินต์วันศุกร์นี้อยู่แล้ว) เอาเป็นว่า คิดซะว่าระหว่างอ่านไป ก็กำลังนั่งกินเบียร์เป็นเพื่อนผมแล้วกันนะครับ Cheer!

ปล.รูปข้างบนไม่ได้เกี่ยวเหี้ยไรกับเนื้อหาเลย แค่อยากอวดโต๊ะทำงานปัจจุบัน มีวิวติดหน้าต่างแล้ว เย้
ปปล.ฝนแม่งก็ตกจังช่วงนี้ เขียนๆ อยู่นึกจะตกก็ตก ถนนแม่งก็ลื่น ไปทำงานทีนี่นึกว่าฝ่ามหาสมุทรแปซิฟิกไป

Comments