การย้ายบ้านครั้งที่ 6


       ผมไม่เคยคิดว่าวันจันทร์ธรรมดาๆ วันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จะกลายมาเป็นอีกหนึ่งวันที่จะจดจำในชีวิตไปอีกนาน มันเป็นวันที่ผมต้องย้ายบ้านครับ ตลอดชีวิตผมเคยย้ายบ้านมาห้าครั้ง แต่ละครั้งมักจะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างให้จดจำก่อนจะบ้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเสมอ ลองมาไล่ดูกัน

ครั้งแรก: ย้ายจากอุบลราชธานีไปอำนาจเจริญตอนก่อนจะขึ้น ป.4 จริงๆ ในทางเทคนิคแล้วนี่เป็นครั้งที่สองแต่ครั้งแรกคือตอนผมสามขวบและผมจำอะไรไม่ได้เลยตัดไป ครั้งนั้นก่อนย้ายบ้านประมาณ 1 อาทิตย์ ผมขี่จักรยานเล่นในป่าแถวบ้าน ผ่านทางเดินเล็กๆ ซึ่งน่าจะขับผ่านมาเป็นร้อยครั้งแรก แต่ความซวยคือวันนั้นขับลอดใต้ราวตากผ้า แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามีบางอย่างฟาดหัว พอหยุดรถแล้วก้มหน้าลงเลือดก็หยดๆ เยอะมาก แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร มารู้ทีหลังคือมีเหล็กปากฉลามแขวนห้องอยู่บนต้นไม้ชี้ปลายลงมา สรุปครั้งแรกเย็บไป 11 เข็มและยังมีแผลเป็นอยู่บนหัวมาจนถึงทุกวันนี้

ครั้งที่สอง: ย้ายจากอำนาจเจริญไปบุรีรัมย์ตอนอยู่ ป.6 อันนี้ฉุกละหุกมาก เหลือแค่สองเดือนผมก็จะจบ ป.6 อยู่แล้ว แล้วแต่ต้องย้ายโรงเรียน แล้วก็ต้องมีสอบ NT น่าจะเป็นรุ่นแรกที่ใช้วัดผลเข้า ม.1 ย้ายโรงเรียนใหม่หมด เป็นสองเดือนที่รู้สึกเป็นคนนอกมากก่อนจะเข้า ม.1 แต่เหตุการณ์พีคกว่านั้นคือ ก่อนจะย้ายบ้านวันหนึ่งฝนตกหนักมาก ผมกำลังเดินกับเพื่อนลุยน้ำแล้วก็ตู้มมม ผมตกลงไปในท่อระบายน้ำไปครึ่งขาจนถึงหัวเข่า ตอนแรกแค่แผลถลอก เลือดไหล แต่จำได้ว่าจู่ๆ ก็รู้สึกไข้ขึ้นหนักมากในเวลาชั่วโมงเดียวเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วเลยไปโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ หมอจิ้มเข็มไปไม่รู้กี่รอบจนแทบไม่มีที่จะจิ้มแล้วตลอด 24 ชม. ต้องให้ยาฆ่าเชื้อตลอดเวลา สรุปรอบนี้คือ ติดเชื้อในกระแสเลือดครับ โชคดีที่ไม่ไปก่อนหมอหยอง ก็นอนโรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์ถึงจะหายดีกลับบ้านได้

ครั้งที่สาม: ย้ายจากบุรีรัมย์ไปมุกดาหารตอนอยู่ ม.4 รอบนี้ค่อนข้างวางแผนมานาน ผมรู้ตัวว่าจะย้ายตั้งแต่กลางๆ เทอมแต่ขอที่บ้านอยู่จนจบ ม.4 รอบนี้ผมมอไซค์ล้มครับ ล้มในที่ๆ ไม่ควรล้มด้วยคือถนนหน้าบ้านที่ขับมันทุกวัน แต่มันสาหัสตรงที่พื้นถนนตรงนี้เป็นหินกรวดเล็กๆ ซึ่งพอผมล้มอัดเข้าไปเต็มๆ มันก็ฝังเข้าไปในเนื้อ ยังจำความรู้สึกตอนที่หมองัดๆ ก้อนกรวดออกจากเนื้อได้อยู่เลย พร้อมกับได้แผลเป็นที่ข้อศอกติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้

ครั้งที่สี่: ย้ายจากมุกดาหารไปลาดกระบังตอนเข้ามหาลัย รอบนี้น่าจะเป็นรอบเดียวที่ย้ายแล้วไม่มีปัญหาอะไรเท่าที่จำได้

ครั้งที่ห้า: ย้ายจากลาดกระบังมาเอกมัย รอบนี้คือเรียนจบแล้วกำลังจะเริ่มงาน ก่อนเริ่มงานหนึ่งอาทิตย์เป็นวัน Present โปรเจ็คจบหลังจากอดหลับอดนอนเตรียมงานมาหลายวัน พอ Present เสร็จผม Burn Out ทันทีไปอาทิตย์นึงเคยเขียนแบบละเอียดๆ ไว้แล้วในเอนทรี่เก่าๆ ไปดูในนั้นได้

       ตลอดเวลาเกือบสามปีที่ผ่านมาผมไม่เคยมีความคิดที่จะย้ายบ้านเลย ผมมีความสุขดีกับชีวิตที่เลือกที่เอกมัยนี่ ผมตั้งใจมาตลอดสามปีว่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับเอกมัยหน่อยไว้มีเวลาจะเขียนละเอียดๆ คร่าวๆ คือ มันเป็นย่านที่เงียบหน่อย ถ้าเทียบกับทองหล่อหรือปรีดีย์ที่อยู่ติดๆ กัน เป็นย่านที่มีของกินดีๆ เยอะมากตั้งแต่ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัฒนาฯ ก๋วยเตี่ยวหมูอรุณวรรณ ข้าวหน้าเป็ดวุฒิกร ข้าวยำไก่ย่างChickenChef ร้านส้มตำผนังฟ้า ข้าวตามสั่งพี่โหดที่ไม่เคยจำชื่อร้านพี่แกได้ซักที ข้าวมันไก่Funky นอกจากร้านอาหารร้านนั่งเล่นดีๆ ก็มีเยอะ นั่งเล่นนี่คงไม่พูดถึงไม่ได้ แต่ตลอดชีวิตการอยู่เอกมัยมาเกือบสามปีเคยไปแค่ 3 ครั้ง Moose ร้านเล็กๆ ที่มีความแนวเฉพาะตัวในซอยเอกมัย 21 ที่ออกจากหอก็ถึงเลย (ปัจจุบันเจ๊งไปแล้ว TT) และอีกหลายๆ ร้านที่มีความทรงจำดีๆ ด้วยกัน เป็นย่านที่เป็นตำแหน่งยุทธศาสตร์ หัวซอยติดถนนสุขุมวิทและแนวรถไฟฟ้า BTS ท้ายซอยเชื่อมไปต่อกับเลียบด่วนรามอินทรา รวมถึง MRT กับ ARL ก็อยู่ไม่ไกลหรือจะรถไฟไทยสถานีคลองตันก็ใกล้นิดเดียว

ทำไมถึงย้ายบ้าน
       เหตุผลง่ายๆ เลยคือ อะไรๆ มันเปลี่ยนไป บ้านที่เราอยู่ๆ ทุกวันเราก็รู้สึกเริ่มห่างขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มจะกลายเป็นคนแปลกหน้าไป ใครหลายๆ คนที่เคยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราอยากมาเจอหน้าทุกวันก็เริ่มหายหน้าไปมันทำให้รู้สึกว่า เราซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ เริ่มที่จะโดดเดี่ยวมากขึ้นๆ ทุกวันๆ
       การทำงานที่เก่ามันเคยมีข้อดีคือมันทำงาน 4 วัน แต่พอถึงจุดๆ หนึ่งเราก็จะเริ่มค้นพบว่าเราเริ่มห่างจากคนรอบตัวไปมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่ได้อยู่ในบริษัทก็ค่อยๆ ห่างออกไปเวลาจะไปเจอเพื่อนก็ไม่ค่อยมีเพราะต้องทำงานอยู่ตอนเย็น ถึงแม้วันศุกร์จะได้หยุดทั้งวัน แต่สุดท้ายแล้วเวลาวันศุกร์นั้นเราก็เอาไปนอนหมดไปแล้วครึ่งวัน แทนที่จะได้เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น

เสียอะไรไป
       ผมเป็นคนโชคดีอย่างนึงที่หัวหน้าที่เก่าสอนอะไรมาหลายอย่าง ให้โอกาสมาหลายอย่างมาตลอดสองปีกว่าๆ จากเด็กที่ไม่เคยรู้อะไรเลย เขียน C++ ไม่เป็นด้วยซ้ำ Unit Test คืออะไรยังไม่รู้จักให้โอกาสจนขึ้นมาถึงทุกวันนี้ เสียใจที่มันต้องจากกันแบบกระทันหันแบบนี้ เสียดายความรู้ในงานที่ทำที่ปัจจุบันที่อยากจะถ่ายทอดให้คนที่จะมาดูแลต่อ เสียดายโอกาสที่จะได้อธิบายว่าสิ่งที่ทำอยู่มันสวยงามแค่ไหน เสีย Connections คือ ถึงแม้เราจะมีเหตุผลที่อยากออก แต่เราก็ยังอยากจะสามารถกลับไปเยี่ยมไปหาน้องๆ หรือเพื่อนที่เรารู้จัก ที่ทำงานมาด้วยกันได้ แต่หลังจากนี้ก็คงกระอักกระอ่วนใจที่จะกลับไป

ได้อะไรมาบ้าง
       ในวันที่ผมย้ายบ้านแม้มันจะกระทันหันไปหน่อย แต่อย่างน้อยวันนั้นมันทำให้ผมเข้าใจว่า คนที่แคร์เราจริงๆ จะโผล่มาในเวลาที่เราลำบาก หลายคนเราก็ไม่ได้คุยกันทุกวันแต่วันนั้นก็ได้คุยกัน ร่ำลากัน รวมถึงบ้านหลังใหม่ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้ตัดสินใจพลาดเลยที่เลือกทางนี้

... ผ่านไปสามเดือน ...

       ข้อความข้างบนนั้นผมเขียนในช่วงไม่กี่วันหลังจากวันที่ต้องย้ายบ้าน แป็ปๆ ผ่านไปสามเดือนแล้ว ผมคิดว่าควรจะถึงเวลาจบเอนทรี่นี้ซักที มีสองสามอย่างที่อยากจะเล่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาสามเดือนนี้

ได้อะไร (อีก) บ้าง
  • ได้มีเวลาลองอะไรใหม่ๆ เนื่องจากโปรเจ็คที่ทำอยู่ปัจจุบันมันเล็กมาก ถ้าเทียบกับโปรเจ็คที่เคยทำ แต่การที่มันเล็กเนี่ย มันเปิดโอกาสให้ผมได้ลองเล่นอะไรใหม่ๆ หลายอย่างมาก ถึงแม้จะไม่ถูกวาง Architect มาดีที่สุดในโลก แต่อย่างน้อยด้วยความที่มันไม่ Perfect นี่แหละที่ยังทำให้เรารู้สึกอยากจะพัฒนาให้มันดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
  • ได้เวลาตอนเย็นกลับคืนมา การที่เราทำงานคนละ Timezone กับคนอื่นมานานทำให้ตลอดเกือบสามปีที่ผ่านมาโอกาสที่จะได้ไปไหน มาไหน ตอนเย็นวันธรรมดามีน้อยมาก ผมตื่นเต้นมากในเรื่องที่คนธรรมดาน่าจะเข้าใจอยู่แล้ว อย่างตอนเย็น มีเวลาไปเดินแรดสยาม ไปดูหนัง ไปกินอะไรอร่อยๆ ตอนเย็น มันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยที่เกิดขึ้นทุกวัน ไม่ใช่แค่ชีวิตกลับไปถึงบ้านแล้วนอนเลย หรือถ้ามีงาน meetup / event เราก็ไปได้โดยที่เราไม่ค่อยรู้สึกผิดในใจเท่าไรที่ออกมาในขณะที่คนอื่นในทีมทำงานอยู่ รึแม้แต่ไม่มีกิจกรรมอะไร แต่การได้กลับถึงบ้านก่อนทุ่มนึง นั่งดูละครทีวีอยู่หอ มันก็เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรามีแรงที่จะทำงานต่อไปได้ในแต่ละวัน
  • ได้มีเวลาอ่านหนังสือ / ฟัง Podcast มากขึ้น จริงๆ ต้องบอกว่ามันคือเวลาเดินทางไปทำงานในแต่ละวัน ซึ่งแต่ก่อนผมไม่เคยมีปัญหานี้เลย เพราะเดินไปทำงาน ไม่ก็นั่งรถเมล์ไปป้ายเดียว แต่ตอนนี้คือต้องนั่งวินไปต่อ BTS แล้วเดินเข้าไปออฟฟิส สรุปเวลา 30 - 40 นาที ซึ่งช่วงเวลาที่อยู่บน BTS ใหม่ๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็ดูคน เพราะอย่างที่บอกผมไม่เคยรู้จักการต้องยืนบนรถไฟฟ้าติดๆ ตอนเช้าๆ ไปกับคนอื่น พอเบื่อดูคนก็เริ่มฟังเพลง พอเบื่อฟังเพลงก็เล่นเกม พอเบื่อเกมก็อ่านหนังสือ ซึ่งตอนนี้ผมค้นพบว่ากิจกรรมที่ทำได้ดีที่สุดตอนอยู่ในรถไฟฟ้าคือ ฟัง Podcast ครับ ซึ่งตอนนี้ขยายแนวจาก Podcast ไทยอย่าง witcast, Omnivore หรือ get talk มาฟัง Podcast ที่เป็น Technical อย่าง Talk Python to me ซึ่งนอกจากสนุกแล้ว ยังได้อะไรใหม่ๆ กลับไปคิด กลับไปลองตลอดด้วย
  • ได้รู้จักคนใหม่ๆ ในชีวิต พอชีวิตเริ่มมีเวลาเหมือนชาวบ้านมากขึ้น การได้ไปออกงานก็ทำให้รู้จักคนเพิ่มมากขึ้นไปอีก รวมถึงที่อยู่ปัจจุบันก็มีคนเก่งๆ หลายคนและพาให้ไปรู้จักคนเก่งๆ หลายคน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยรู้จักเลย ทำให้รู้สึกว่าโลกที่อยู่มันกว้างขึ้นไปอีก
  • ได้ใช้เวลากับไก่มากขึ้น จากแต่ก่อนถึงจะอยู่ที่เดียวกัน แต่อยู่คนละทีม แต่ตอนนี้คืออยู่ทีมเดียวกัน เดินทางไปทำงานพร้อมกัน คืออยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา มันทำให้ความสัมพันธ์ของเรามันดียิ่งขึ้นไปอีก และเข้าใจกันมากขึ้นในหลายๆ อย่างเลยทีเดียว
       จริงๆ ยังมีอีกหลายข้อคิดว่านะ ผมเคยกลัวมากตอนออกมาใหม่ๆ ว่าผมจะตัดสินใจผิดรึเปล่าและมันจะมีปัญหาตามมาอีกมั้ย เพราะผมกลัวการเปลี่ยนแปลงและอะไรที่ไม่แน่นอนมาก ถึงแม้ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา จะมีช่วงเวลาที่ท้อบ้าง ช่วงที่ตั้งคำถามกับตัวเองบ้างว่าทำอะไรลงไปและทำอะไรอยู่ แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกได้ว่า ผมไม่ได้ตัดสินใจผิดเลย ที่เลือกทางนี้เมื่อสามเดือนที่แล้ว...

Comments