Super Half Marathon (27.90 km)



ผมคิดอยู่นานเหมือนกันนะว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเริ่มต้นเมื่อไร บางทีอาจจะย้อนไปถึงงานกรุงเทพมาราธอนปีที่แล้วเลยก็ได้ ปีที่แล้วผมลง Mini Marathon 10.5 km ไป เป็นงานวิ่งระยะไกลงานแรกในชีวิต ผมวิ่งจบครับแต่จุดสำคัญมันอยู่ที่แยกๆ หนึ่งตรงถนนวิสุทธิกษัตริย์ตัดกับถนนประชาธิปไตย แยกนั้นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ผมยังจำความรู้สึกที่ต้องเลี้ยวขวาไปกับชาว Mini Marathon ที่วิ่งมาด้วยกันได้ ในขณะเดียวกันสายตาผมก็เห็นอีกหลายคนวิ่งไปทางซ้าย พร้อมเสียงสตาฟงานบอกว่า "ฟูลกับฮาร์ฟไปทางนู้นนะครับ" ผมได้แต่ทอดสายตามองด้วยความสงสัย ว่าพวกเค้าเหล่านั้นวิ่งไปไหนกัน แต่ก็สงสัยได้ไม่นานเพราะตอนนั้นก็เหนื่อยชิปหายจะตายอยู่แล้ว ด้วยความที่ไม่ค่อยได้ตั้งใจซ้อมวิ่งอย่างที่ควรจะเป็น

วาร์ปมาปีนี้ถึงเวลาลงทะเบียนกรุงเทพมาราธอนอีกปี ผมก็เลิกวิ่งมาได้ประมาณ 4 - 5 เดือนแล้วในขณะที่เริ่มเห็นคนรู้จักหลายๆ คนออกไปวิ่ง ผมได้แต่ชื่นชมอยู่ห่างๆ ด้วยความขี้เกียจผมก็เลยยังไม่ตัดสินใจลงทะเบียน จนกระทั่งอาทิตย์สุดท้าย (ซึ่งค่าสมัครก็เพิ่มขึ้นมาระดับนึงเลย) ผมตัดสินใจกดลงทะเบียน Half Marathon ไปพร้อมกับตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่อู้ซ้อมเหมือนปีที่แล้ว แล้วเวลาก็ผ่านไปจนกระทั่งปลายเดือนกันยา ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าเหลือไม่ถึงสองเดือนละนะ ผมเริ่มกลับมาซ้อมอีกครั้งนึง แต่ซ้อมได้ไม่กี่วัน ก็เลิกไปอีก เอาจริงๆ ยอมรับเลยว่าขี้เกียจมากที่ต้องตื่นเช้าไปวิ่งในขณะที่งานประจำกว่าจะเลิกก็ปาไปห้าทุ่ม เที่ยงคืน กว่าจะได้นอนก็ปาไปตีสอง เกือบทุกวัน ผมปล่อยตัวเองอีกรอบ พร้อมกับใจที่เริ่มเสียวลึกๆ ว่าจะวิ่งจบรึเปล่า

โชคดีที่มีงาน TMB ParkRun 2015 จัดขึ้นหนึ่งสัปดาห์พอดีก่อนหน้ากรุงเทพมาราธอนปีนี้ ผมเลยตัดสินใจลงระยะ 10 Km อย่างไม่ลังเลเลย เหตุผลคือเสื้อสวยมาก ไม่ใช่แระ เหตุผลคือ ผมเองก็อยากรู้ว่าตัวเองยังจะลากสังขารไปถึงเส้นชัยได้มั้ย ปรากฏว่าได้เว้ย แถมไม่บอบช้ำมากด้วย ต้องขอบคุณโปรเตอุส ยูไนเต็ดที่ชวนไปเตะบอลทุกอาทิตย์ ถึงจะไม่ได้วิ่งแต่ก็ได้วอร์มร่างกายบ้าง

คืนก่อนวันงานหลังจากไปเอาเสื้อติด bib อะไรเสร็จตั้งแต่เย็นแล้วพยายามนอนตั้งแต่สามทุ่ม แน่นอนว่าไม่หลับ อาจจะเพราะไม่ใช่เวลานอนปกติ อาจจะเพราะตื่นเต้นด้วย แต่อย่างไรก็แล้วแต่มันไม่หลับเลย ได้แต่กลิ้งตัวไป กลิ้งตัวมา จนกระทั่งเที่ยงคืนเปิดเฟสมาก็เห็นชาวฟูลตื่นกันแล้วส่วนใหญ่ หายง่วงไปเลย แต่ก็ยังพยายามนอนอยู่ก็เลยอ่าน Run me to the moon (http://minimore.com/b/run-me) หวังว่าจะทำให้ง่วงขึ้นเอาไปเอามา หายง่วงไปเลย ตื่นเต้นแทนรู้ตัวอีกทีปาไปเกือบตีหนึ่งครึ่ง เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะข่่มตาให้ได้ซักงีบก็ยังดี แต่ก็ไม่หลับตีสองสิบห้าถึงเวลาต้องตื่นแล้ว ตอนนี้ดันมาเริ่มง่วง ผมอาบน้ำใส่ชุดอย่างรวดเร็ว เดินออกจากหอในขณะที่หลายๆ คนกำลังเดินเข้าหลังจากไปเที่ยวมา นั่ง Uber ไปด้วยใจเต้นรัวๆ กลัวมากเพราะไม่ได้นอนไม่รู้ว่าจะส่งผลมากแค่ไหน แต่ถึงจุดนี้ก็ถอยไม่ได้ละ

พอมาถึงงานเพราะว่าปีที่แล้วเคยมา ถึงรู้สึกแปลกใจมากว่าทำไมพอมาถึงบรรยากาศมันสงบผิดปกติ ประเภท Half Marathon นี่เค้าไม่วุ่นวายตอนก่อนเริ่มเลยเหรอ มันสงบมากครับ สงบจนผมเริ่มรู้สึกกดดันมากกว่าเดิมเสียอีก จนกระทั่งเดินไปถึงจุดปล่อยตัวก็แทรกๆ ตัวไปพยายามจะอยู่กลางๆ ไม่หน้าเกินไป จนกระทั่งไปหยุดอยู่ข้างหลังพี่กระทิงสองคนที่ผมไม่รู้จัก รอเวลาปล่อยตัว รู้ตัวอีกทีทุกคนก็เริ่มวิ่งกันแล้ว

สิ่งที่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนหลังจากออกตัวมาเลยคือ ทุกคนวิ่งเร็วมาก มากโคตรๆ คือรู้สึกได้เลยว่าทุกๆ คนไหลผ่านเราไปเร็วมาก ปีที่แล้วตอนออกตัวผมยังรู้สึกได้บ้างว่าผมวิ่งแซงไปหลายคนเลย แต่อันนี้คือ ทุกคนไหลผ่านผมไป แต่ผมก็ไม่บ้าจี้ตามไปนะ วิ่งชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ แป๊ปเดียวก็ผ่านมา 2 km จนกระทั่งเริ่มขึ้นทางยกระดับ ผมเห็นไฟข้างหน้าของเซนทรัลปิ่นเกล้าเออเดี๋ยวก็ถึง ผ่านโรงบาลไป หลายจุดแถวนี้ลำบากชีวิตมากเพราะไฟถนนไม่มีแล้วผมก็สายตาสั้นและไม่ได้ใส่แว่นวิ่ง ปกติก็เห็นลางๆ อยู่แล้ว จุดนี้คือตาบอดวิ่งเลย แล้วห่างจากจุดให้น้ำนิดเดียวพื้นเลยแฉะมาก วิ่งไปเสียวไป จนเริ่มเห็นพวก Full Marathon วิ่งกลับมาบ้างแล้วค่อยใจชื้นขึ้นบ้างว่าเดี๋ยวก็กลับตัวแล้ว เห็นโค้งลิบๆ แต่ไฟสว่างมาก ต้องกลับตัวตรงนั้นแน่ๆ

ไม่กลับ ตอนนั้นยอมรับเลยว่าไม่รู้ตัวว่าเลยจุดเลี้ยวกลับตามที่ควรมาแล้ว แต่ประหลาดใจมากที่จุดให้น้ำแม่งแก้วหมด เป็นครั้งแรกที่สัมผัสความรู้สึกของการซดน้ำจากเหยือกต่อจากคนอื่นๆ ช่วงนี้รู้สึกสงสารชีวิตตัวเองมาก แต่ยังพอมีแรงวิ่งก็ขอให้มันจบๆ ไป วิ่งไปเกือบถึง 8 km ตามแอพบอกถึงค่อยถึงจุดกลับตัว พร้อมกับเจอ Full กลุ่มใหญ่ด้วย ยอมรับเลยว่ายังทึ่งกับ Full หลายคนที่วิ่งมาน่าจะประมาณตีห้าตอนนี้ ยังวิ่งๆ เดินๆ ไปต่อจนกระทั่งถึงโค้งใหญ่อีกรอบ ถึงผ่านจุด 10 km ไปใช้เวลาประมาณ 1.28 ชม. ไม่ต่างจากปกติมากเท่าไร ตอนนี้ยอมรับเลยว่ายังรู้สึกว่า เห้ยยังไหวอยู่นะ แต่คือจริงๆ หลังจากนี้เป็นดินแดนที่ไม่รู้จักละ

กิโลเมตรที่ 11 - 12 ยังประสบปัญหาคลำทางวิ่งเป็นพักๆ แต่พอมีไฟเมื่อไรก็ปาดซ้าย ปาดขวา ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็เดินไหลไป จนฟ้าเริ่มสว่างประมาณ กิโลเมตรที่ 13 ซึ่งตอนนี้ย้อนกลับมาเส้นทางที่รู้จักแล้วตรงทางยกระดับก่อนจะถึงสะพานพระราม 8 ตอนนั้นยังมีแรงบ้าง ในใจคิดว่าถึงสะพานกูต้องหล่อ กูต้องมองกล้อง มาสะดุดตรงป้ายตอนก่อนขึ้นสะพานพระราม 8 เห้ย ทำไมระยะมันไม่ตรงกับในแอพวะ แต่ใจยังคิดแต่กูต้องหล่อ กูต้องแอ็บเข้ากล้อง เป็นช่วงที่วิ่งลืมเหนื่อยเลย เพราะกลัวกล้องถ่ายแล้วออกมากาก เป็นช่วงที่สนุกที่สุดของงานนี้แล้ว พอหลังจากเลยจุดช่างภาพคนสุดท้ายบนสะพานมา บรรยากาศมันก็เริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง มีช่วงวิ่งลงเนินที่ค่อยเร็วหน่อย แต่ช่วงนั้นยังคิดว่าเกิน 15 กิโลเมตรมาแล้วยังพอมีแรงลากไปไหวยังไม่เจ็บมาก ต้องจบแน่ๆ ยิ่งผ่านแยกอ้างว้างที่แบ่งระหว่าง Full, Half กับ Mini แล้วยิ่งรู้สึกว่าเห้ยทำได้แล้วนะ เลี้ยวโค้งไปไม่นานก็เจอน้ำรู้สึกตรงนี้จะมีเกลือแร่ด้วย ผมนี้มีใจจะไปต่อเลย หารู้ไม่ว่านรกกำลังจะเริ่มขึ้น

แยกอ้างว้าง
ประมาณกิโลเมตรที่ 17 อยู่ดีๆ ร่างกายผมมันก็เริ่มโวยวายขึ้นมา ขาที่ตอนแรกแค่ปวดเมื่อยเบาๆ มันก็ดันมาร้อนเป็นไฟทั้งน่องทั้งสองข้าง เท้าก็ร้อนยังกะโดนไฟเผา จนต้องชะลอเดิน พอตั้งท่าจะวิ่งแม่งก็เหมือนจะรู้ตัวเด้งมาปวดต้นขาซ้ายต่อ ถ้าจะมีกล้องจับภาพตอนช่วงนี้เป็นช่วงที่หน้าตาทรมาณไร้ซึ่งความเก๊กใดๆ ให้กล้องอีกแล้ว เดินกะเผลกๆ ผ่านสวนสัตว์ดุสิตไป ตาก็จ้องกำแพงที่มีภาพวาดสัตว์ไป พร้อมกับดมกลิ่มสาปผสมขี้ ยังกับว่าแค่ภาพจะทำให้รู้สึกว่าสมจริงไม่พอ เดินไปตามถนนราชวิถีไปเรื่อยๆ จนถึงจุดเลี้ยวขวาประมาณกิโลเมตรที่ 19 ถึงจุดให้น้ำ ณ จุดนี้ผมตกหลุมรักครับ

ตลอดทางตั้งแต่อยู่แถวปิ่นเกล้าผมสงสัยมาตลอดว่าทำไมเค้าต้องทาน้ำมันมวยกันด้วยจนขาขาวไปหมด เออมันคงดีมั้ง ไม่รู้ไม่เคยทา สด!! พอจุดนี้แหละที่ผมปวดจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่ละ ผมขอน้ำมันมวยจากสตาฟที่แทบจะไม่เหลืออยู่ละ จนต้องเทขวดออกมา ตอนแรกที่ทา ยังไม่ค่อยรู้สึกมาก แต่พอมันออกฤทธิ์เท่านั้นแหละ พระเจ้า ผมตกหลุมรักน้ำมันมวย ทุกความเจ็บปวดที่ทนทุกข์มาตลอดสองกิโลกว่า เธอช่วยบรรเทาให้มันหายไป ถึงเท้าจะยังปวดอยู่ แต่น่องกับขาหายแล้ว ผมก็เริ่มจะวิ่งบ้างเป็นพักๆ ตอนนี้น่าจะประมาณจุด 3 ชม. ที่ผมคิดไว้คร่าวๆ ตอนแรกว่าน่าจะจบ แต่ทำระยะตอนนี้ได้ประมาณ 19 กิโลครึ่ง

ผมผ่านระยะ 21 km ซึ่งควรจะเป็นระยะที่การแข่งขันจะจบด้วยเวลา 3 ชม. 19 นาที 50 วินาที แถวๆ สนามเสือป่าก่อนถึงแยกพระบรมรูปทรงม้าตอนนั้นคือ ไม่รู้แล้วว่าต้องไปอีกไกลเท่าไรกว่าจะจบ ผ่าน 21 มาแล้วใจคิดแต่ว่ารึจะพอแค่นี้ โบกแท๊กซี่กลับแม่ง ครบแล้วนี่ ความคิดแบบนี้วนเวียนอยู่ซักพักนึง จนถึงประมาณกิโลเมตรที่ 22 เป็นจุดให้น้ำที่ผมรักที่สุดในงานนี้ละ มันมีแตงโมครับ !!! ลองคิดภาพคนที่วิ่งมาไกลๆ ท้องร้องมาเป็นกิโล เดินมาเจอกองแตงโมเย็นๆ ฉ่ำๆ น่าจะเป็นแตงโมที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาเลย ฮ่าๆ พอมีแตงโมค่อยมีความหวังหน่อย ยิ่งผ่านช่วงที่เป็นจุดให้น้ำที่มีพยาบาลกับปีโป้ ยิ่งทำให้ยิ้มได้ แต่ผ่านไปซักพักก็กลับมาจิดตกอีกรอบ ตั้งคำถามกับตัวเองตลอดทางว่าทำไม ทำไมต้องมาเหนื่อยแบบนี้ น้ำตาซึมลึกๆ แทบจะงอแงอยู่ละ แต่ขายังเดินไปเรื่อยๆ อย่างน้อยกูก็ไม่ได้เดินคนเดียววะ จนมาเจอมวลมหาประชาชน Mini Marathon ความเหงาที่เกาะกุมมาตลอดหลายกิโลถึงค่อยหายไปบ้าง

ยิ่งเดินใกล้ถึงตีนสะพานพระปิ่นเกล้ามากขึ้น ใจก็ยิ่งเต้นมากขึ้นว่าจะจบแล้วโว้ย ประมาณกิโลเมตรที่ 25 กว่าๆ แถวๆ หน้าโรงละครแห่งชาติ กำลังจะเลี้ยวเข้าเส้นเลียบสนามหลวง ผมเริ่มวิ่งสุดแรงเพราะคิดว่า เหลืออีกนิดเดียวใส่ให้สุด เจอกล้องพอดีด้วยเสียฟอร์มไม่ได้ พอสายตาเลยกล้องมาเท่านั้นแหละเจอป้ายบอกว่า Full, Half ให้เลี้ยวขวาไปถนนพระจัน่ทร์ ใจผมนี่แฟบเลย เห้ย ให้กุวิ่งไปไหนเนี่ย อิคนที่มีแรงวิ่งพร้อมจะสุดตะกี้กลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง ยิ่งเลี้ยวเข้าถนนมหาราช ผ่านวัดมหาธาตุที่ปิ้งไก่ย่างได้หอมมาก ใจยิ่งห่อเหี่ยวเพราะไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนถึงจะจบ ถึงมันจะใกล้มากแล้วก็เถอะ

หลังจากนั้นเป็นการเดินเลียบกำแพงพระบรมมหาราชวังเกือบกิโล แถมตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้วแดดเปรี้ยงได้ที่เลย จำได้ว่าตรงมุมถนนก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าถนนท้ายวังเห็นช่างภาพอยู่ไกลๆ แต่คือตอนนั้นคือ ไม่มีอารมณ์จะเก๊กแล้ว จะตายแล้ว ผมว่าช่างภาพเค้าก็น่าจะเข้าใจเพราะตอนแรกเหมือนจะยก แต่พอเห็น The Walking Dead เดินกันมาเป็นแถบก็มีวางกล้องลงบ้าง จนมาถึงถนนท้ายวังก่อนถึงโค้งสุดท้ายเป็นช่วงหนึ่งที่ประทับใจมากของงานเลย จำไม่ได้ว่าพี่ๆ ชมรมไหนทั้งปรบมือ ทั้งให้กำลังใจ ประมาณว่าอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว

พอเห็นโค้งสุดท้ายเท่านั้นแหละ จำได้ว่าตอนนั้นเสียงเชียร์เยอะระดับนึงเลย ผมไม่คิดอะไรแล้วนอกจากกูต้องวิ่งเข้า กูจะไม่ยอมเดินเข้าเด็ดขาด จำได้ว่าทางตรงสุดท้ายนี่คือ น้ำตามันไหลออกมาเอง มันเป็นความรู้สึกที่กูจะจบแล้ว สิ่งที่กูทนมาตั้งหลายชั่วโมง มันกำลังจะจบแล้ว มันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ ผมเข้าเส้นชัยประมาณ 8 โมง 40 จบระยะทาง 27.90 กิโลเมตรด้วยเวลา 4 ชั่วโมง 40 นาที สิ้นสุดกันทีกับการวิ่งที่ไกลที่สุดในชีวิตจนถึงตอนนี้เลย

เวลา Official
เคยดูหนังพวกที่เกิดวิกฤติแล้วต้องแก้ไขสถานการณ์กันมั้ยครับ หนังมักจะจบตอนแก้สถานการณ์เสร็จแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าหลังจากนั้นเป็นยังไง วันนั้นก็เหมือนกันครับ ถ้าหากว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการวิ่ง 27 กิโลเมตรแล้ว สิ่งที่ยากรองลงมาในวันนั้นคือการพาตัวเองออกมาจากเขตพระนคร ประสบการณ์ปีที่แล้วสอนให้รู้ว่าการเดินไปหาของกินก่อนจะช่วยฆ่าเวลาที่คนอื่นก็กำลังหาแท๊กซี่เหมือนกัน จำได้ว่าตอนนั้นเดินหลงจนไปกินข้าวมันไก่แถวตรอกที่ไหนก็ไม่รู้ ปีนี้ก็หลงไปกินข้าวมันไก่เหมือนกันแต่คราวนี้รู้เลยว่าอยู่บนถนนดินสอ กินๆ ไปแล้วไปยืนรอแท๊กซี่นานมากไม่มีว่าง ตัดสินใจโบกรถเมล์ 79 กลับสยาม รถเมล์ก็ไม่มีที่อีก ขาก็เริ่มกลับมาระบมอีกแล้ว จนมาถึงสยามต้องเดินไปต่อ BTS อีกกว่าจะถึงบ้านยืนจนเมื่อย

ความพีคอีกจุดของวันนี้มันอยู่ที่ตอนอาบน้ำตอนกลับมาถึงห้องนี่แหละ ตลอดระยะเวลา 4.40 ชม. ผมไม่รู้สึกถึงการสึกหรอของอย่างอื่นนอกจากกล้ามเนื้อขา แต่พอน้ำหยดแรกสัมผัสหัวนมเท่านั้นแหละ แสบสะท้านหัวนมไปทั้งสองข้า่ง ยิ่งเช็คดูเหมือนว่าข้างขวาจะปวดกว่านอกจากจะชูชันกว่าแล้วยังแดงกว่าด้วย ยังโชคดีที่ไม่ถึงกับเลือดออก แต่ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งในชีวิตว่า กูเคยวิ่งจนแสบหัวนมมาแล้วนะ ฮ่าๆ หลังจากนั้นก็ไม่มีไรมากนอกจากนอนยาวตื่นมาอีกที 6 โมงเย็นด้วยสภาพที่แทบจะลุกจากที่นอนไม่ได้ เป็นวันที่สุดยอดจริงๆ

ปล.ถึงจะมี ดราม่าที่วิ่งเกินมาบ้าง ถึงจะเจ็บตัวมากกว่าปกติ วิ่งมากกว่าที่คิด แต่ท่ามกลางความผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในงานวิ่งระดับนี้ อย่างน้อยผมก็มีเรื่องไปเล่าให้คนอื่นฟังมากกว่าปกติว่าครั้งหนึ่งในชีวิต Half Marathon ครั้งแรกก็วิ่งเกินระยะ Half มาตั้งเกือบ 7 กิโลมาพร้อมกับคนเกือบ 5000 คน ถึงสภาพตัวเองจะปางตายก็เถอะ... Next Time on The Walking Dead!

ระยะทางทั้งหมด จะเห็นว่าวิ่งเลยโค้งตรงทางยกระดับไปไกลเลย


Comments