เขียนถึงแมนในอนาคต ฉบับที่ 1


สวัสดีแมนในอนาคต

       อย่างแรกเลยเราจะเรียกแมนในอนาคตว่า "นาย" แล้วเราจะแทนตัวเราในตอนนี้ว่า "เรา" เพื่อจะได้ไม่เป็นการสับสน แต่นั่นแหละตอนนี้นายอาจจะอ่านจดหมายฉบับนี้เป็นสิบๆ รอบแล้้วมั้ง กว่านายจะตอบเรา ไม่เป็นไร เราคิดว่าเมื่อไรที่ถึงเวลาที่นายพร้อมสุดท้ายนายก็จะตอบเราเอง อาจจะเป็นวัน สัปดาห์ หรือเดือน อาจจะเป็นปี เราไม่รู้ คนที่รู้ก็คือนายนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเราจะรอ
       นายอาจจะสงสัยว่าเราเขียนหานายทำไม เราจะเล่าให้ฟัง ในคืนวันหนึ่งในวันที่ฝนตก ปลายเดือนกันยายน เรามีความคิดวูบหนึ่งแว็บเข้ามาในหัวว่า มันจะรู้สึกยังไงถ้าเราสามารถย้อนกลับมาคุยกับตัวเองในอดีตได้ ฟังดูพิลึกใช่มั้ยละ น่าแปลกที่เรายังตระหนักในความเป็นจริงว่า เราไม่สามารถย้อนกลับมาคุยกับตัวเราเองในอดีตได้ แต่เราคุยกับตัวเองในอนาคตได้ ฟังดูเป็นความคิดบ้าๆ ที่อาจจะผ่านมาแล้วผ่านไปหลังจากหลับไหลจนตื่นเช้าขึ้นมาอีกวัน แต่นายคงรู้ว่าสุดท้ายแล้วความคิดนี้มันก็ไม่ได้ผ่านไปแล้ว นายก็กำลังคุยกับเราผ่านจดหมายฉบับนี้อยู่

       เราอยากจะเล่าเกี่ยวกับตัวเองก่อน แน่นอนว่านายน่าจะรู้จักเราดีอยู่แล้ว แต่เราก็ตระหนักได้ว่านายอาจจะหลงลืมบางอย่างไป ระหว่างที่นายกำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ ซึ่งสิ่งนีแหละจะพาความทรงจำบางอย่างที่อาจจะหายไปของนายกลับคืนมา ตอนนี้เราเรียนจบมาได้หกเดือนแล้ว พร้อมๆ กับที่รู้ว่าเราก็ทำงานเพิ่งจะผ่านเส้นหกเดือนมาหมาดๆ นายยังจำได้มั้ย ตอนนี้นายเกือบจะสติแตกแบบกู่ไม่กลับเลย ไม่น่าเชื่อว่านายผ่านมันมาได้นะ ถึงตอนนั้นนายคงกำลังคิดว่า เรานี่ช่างโง่เขลาเสียจริงที่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นไป ความคิดแบบเด็กๆ นายคงพูดแบบนี้สินะ เรากำลังมีความสุขดีกับชีวิต เราได้ทำงานในบริษัทที่เราอยากมาทำด้วยมากที่สุด ได้รู้จักคนเก่งๆ หลายคน ชีวิตใหม่ในเอกมัยนั้นมันดูเหมือนจะไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องแลกมา นายจำได้ไหม หลังจากวันนั้นเราไม่เคยกลับไปเป็นคนเดิมอีกเลย หลายคนที่เราเคยสนิท คุยได้ทุกเรื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน กลับกลายเป็นคนแปลกหน้าไปได้ ซึ่งคิดๆ ดูแล้วเนี่ย มันก็แปลกดีนะ แต่ก็ไม่ได้แปลกประหลาดจนไม่คุ้นเคยเสียทีเดียว ที่เราแปลกใจจริงๆ ตอนนี้คือ หลายคนที่เราไม่เคยคิดว่าจะรู้จักเรา กลับรู้จักเราแหะ เราไม่รู้นะว่านายจะยังรู้สึกเหมือนเราตอนนี้มั้ยระหว่างที่กำลังอ่านอยู่นี้ แต่สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนถึงความทรงจำหลายๆ อย่างเลย ไม่แน่นะ วันนึงนายอาจจะกำลังเดินๆ อยู่ดีๆ แล้วมีคนมาทักว่ารู้จักนายโดยที่นายอาจจะจำเขาเหล่านั้นหรืออาจจะไม่รู้จักเลยก็เป็นได้

       ตอนนี้เรากำลังกลับมาสนใจเกี่ยวกับอวกาศอีกครั้ง นายคงไม่แปลกใจหละสิ เพราะตอนนี้นายอาจจะกำลังทำอะไรพวกนี้เป็นเรื่องหลักในชีวิตแล้วก็เป็นได้ แต่ตอนนี้มันเพิ่งกลับมาเริ่มต้น ถ้าจำไม่ได้มันเริ่มต้นเพราะพี่คนหนึ่งในบริษัทเรากำลังจะเป็นนักบิน แถมพี่แท้ๆ เราก็ขอให้เราลง FSX ให้ใหม่อีก เราได้จับจอยสติ๊กที่เคยเล่นสมัยอยู่มัธยมอีกครั้งหลังจากไม่ได้บินมานาน มันเป็นความรู้สึกที่อิสระมาก ตอนแรกเราก็ขับเครื่องบินนั่นแหละ แต่ช่วงนี้ยาน MAVEN กับ MOM เพิ่งไปถึงดาวอังคาร ประกอบกับเราดูหนังเรื่อง October Sky แล้วก็กลับมาดู From The Earth To The Moon อีกครั้งมันทำให้เรากลับมาสนใจเรื่องนี้จริงจังมากขึ้นไปอีก จนสุดท้ายไปหา Kerbal Space Program มาเล่นแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ฟินมาก รู้สึกเหมือนกลับไปมีความฝันอีกครั้ง เรารู้สึกเหมือนฝันครั้งนี้มันจะกลับมาจริงจังอีกครั้งมากๆ ขนาดแวะไปหอสมุดลาดกระบังตั้งหลายรอบเพื่อไปหาหนังสือพวกนี้อ่าน อ่อหอสมุดตอนนี้เพิ่งทำตึกใหม่เสร็จ ชั้นหนังสือที่เคยกระจุกรวมกันอยู่หอวิศวะ ก็ย้ายมาอยู่หอสมุดกลางตึกใหม่หมด มันก็สวยดีนะ แต่ก็เหงาไม่มีความอบอุ่นเหมือนที่เราเคยไ้ด้ไปเยี่ยมเยียนในอดีต เราขอให้น้องยืมหนังสือ Spacecraft System Engineering มาจากหอสมุด แล้วเราก็ค้นพบว่ามันเป็นหนึ่งใน text ที่เราอ่านแล้วไม่เบื่อเลย

       นายยังจำเธอคนนั้นได้มั้ย ใช่คนนั้นแหละ เราว่านายเดาไม่ผิดหรอก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เราไม่เคยลืมเธอเลย เรื่องนี้เราเพิ่งตระหนักได้หลังจากคุยกับเพื่อนคนนึงที่รู้จักเรามานานพอๆ กับเธอ เราไม่รู้ว่านายจะยังรู้สึกแบบนี้มั้ยในตอนนี้ (หมายถึงตอนที่กำลังอ่านอยู่นะ) ว่าบางครั้ง เราเหมือนรู้จักเธอ แต่ในขณะเดียวกันเรากลับไม่รู้จักเธอเลยแม้แต่นิดเดียว และบางครั้งเธอก็หายไปจากชีวิตเราทีละหลายๆ เดือน แต่พอถึงคราวกลับมาเราก็รู้สึกเหมือนว่าที่ผ่านมาหลายเดือนนั้นมันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านไป นั่นคงเป็นสาเหตุหลักมั้งที่ทำให้นายไม่เคยลืมเธอไปจากชีวิตได้เลย นายจำ Forest Gump ได้มั้ย นึกถึงตอนนี้ Jenny กลับมาหา Gump อีกครั้งหลังจากที่หายไปจากชีวิตเขาในช่วงยุค 60s 70s สิ สิ่งนี้ทำให้เราเข้าใจความจริงของชีวิตอย่างนึงที่ว่า ในชีวิตคนเราเนี่ย หลายคนก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ จะผ่านไปช้าๆ หรือจะผ่านไปเร็วๆ หรือบางครั้งอาจจะแว็บไปแว็บมา ไม่แน่นะนายอาจจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าเราตอนนี้ก็เป็นได้

       อ่ออีกเรื่อง เราเพิ่งกลับมาวิ่งได้เกือบเดือนละ นายรู้มั้ยว่าไอการวิ่งเนี่ยมันคือ กีฬาที่เราชอบที่สุด พอพูดประโยคนี้ขึ้นมามันทำให้เรานึกถึงสมัยอยู่มัธยมทุกที เราแม่งเป็นบ้าอะไรไม่รู้ชอบแบกการบ้านทั้งห้องไปส่ง บางครั้งแค่คนละห้อง บางครั้งคนละชั้น บางครั้งข้ามตึกก็ยังมี แล้วมันเกี่ยวกับการวิ่งยังไง เราก็ไม่รู้นะ แต่ประโยคข้างบนนั่นแหละมันทำให้คิดถึง เรากำลังจะลงแข่งวิ่งครั้งแรก ในช่วงเวลาเดียวกับที่เราจะรับปริญญา เราคิดว่านั่นคงเป็นอีกหนึ่งจุดในชีวิตที่เราจะเปลี่ยนไป เราไม่รู้แต่นายคงจะเข้าใจแล้วสินะว่ามันรู้สึกยังไง ถึงตอนนั้นไม่แน่เราอาจจะเขียนหานายอีกซักฉบับก็เป็นได้ หรือนายอาจจะตอบมาก่อนใครจะไปรู้ กลับมาที่เรื่องวิ่ง การหาที่วิ่งในกรุงเทพหาไม่ยาก แต่หาที่วิ่งดีๆ นั้นไม่ง่าย เราต้องเสียเวลาเดินทางไปสวนลุมฯ เกือบ 30 นาทีทุกๆ ครั้งที่จะไปวิ่ง บรรยากาศตอนเช้าๆ วันธรรมดานั้นน่าวิ่งมาก คนไม่ค่อยเยอะ บางวันแดดแรง บางวันครึ้มๆ อาจจะเป็นแค่ช่วงนี้ก็ไ้ด้ ที่ตลกก็คือ อาทิตย์ก่อนนู่นไปวิ่งแข่งกับกองลูกเสือที่กำลังมาเดินเรี่ยไรเงินอะไรซักอย่างด้วย รู้สึกดีพิลึกแหะ แต่ถ้าเป็นวันเสาร์ อาทิตย์คนจะเยอะขึ้นมาหน่อย ต้องหลบมากว่าปกติ  และตั้งแต่เริ่มวิ่งมาเนี่ยในชีวิตนะ มีเรื่องฟินเพิ่มขึ้นมาสองอย่างคือ ความรู้สึกของการตื่นเช้าในวันที่ไม่ต้องวิ่ง กับ ความรู้สึกของการอาบน้ำหลังจากวิ่งเสร็จ ฟินจริงๆ แต่ตอนนั้นนายอาจจะไม่ฟินแล้วหรืออาจจะเลิกวิ่งไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้หละ

       มันน่าแปลกนะตอนเราเริ่มเขียน เรามีเรื่องเป็นสิบอย่างที่อยากจะเล่าให้นายฟัง แต่พอเขียนไปๆ มันกลับเหลืออยู่ไม่กี่เรื่อง นายอาจจะเขียนตอบเราก่อนที่เราจะตอบนายก็เป็นได้ แต่ถ้าเป็นเราในอนาคตก็ต้องเป็นนายแต่ไม่ใช่ "นาย" สิแล้วนายในอนาคตก็ต้องเป็นเราอีกคน นั่นหมายความว่าเราจะมีคนที่คุยด้วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราเขียนไปก็เริ่มงง นี่คงเป็น Paradox อีกหนึ่งอย่างของกาลเวลาสินะ ปริศนาที่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร มีไว้เพื่ออะไร ก็นั่นแหละถ้าเรายังคงพูดเรื่องเวลากับ นายและนาย ก็คงไม่จบไม่สิ้นซักที
       เราเป็นคนบอกลาไม่เก่ง และเป็นคนที่ไม่ชอบการบอกลาที่สุด ความจริงข้อนี้อยู่กับเรามานานและเราก็คิดว่านายน่าจะไม่ต่างกับเรามากนัก แล้วเราจะจบจดหมายฉบับนี้ด้วยอะไรดี รู้ละคำๆ เดียวที่มีความหมายที่สุดในตอนนี้ 10K

แมนในอดีต
25/09/2014

ปล.รูปข้างบนเป็นรูปทางช้างเผือกรูปแรกที่เราถ่ายเอง ที่วังน้ำเขียวไง ตอนนั้นอย่างกาก ขาตั้งกล้องก็ไม่มี รีโมทก็ไม่มี ต้องปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าบ้านพัก นั่งขัดสมาส แล้ววางกล้องหงายหน้าลงบนตัก นั่งนิ่งๆ ตั้ง 30 วิกว่าจะได้ภาพนี้มา อาจจะไม่สวยที่สุด แต่เราก็ชอบมันนะ

Comments