[Review] Gravity 3D บรรยากาศหนังไซไฟยุค 2000s กลับมาแล้ว...


คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของภาพยนต์ (ยาวไปไม่อ่าน - สปอยนะครับ)

     จริงๆ แล้วผมมีโอกาสรู้จักกับภาพยนต์เรื่องนี้มาก่อนหน้านี้หลายเดือนแล้ว จากรายการ WitCast ตอนพิเศษ Moviecast สรุปหนังซัมเมอร์ 2013 ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจเท่าไร เพราะหนัง Blockbuster อีกหลายๆ เรื่องกำลังเข้ามา แต่วันนี้เนื่องในโอกาสรถติดจนพลาดไปงาน 2600 Thailand Meeting#6 National Cyber Security เลยเปลี่ยนแผนไปดูภาพยนต์แทน ซึ่งแผนแรกก็ว่าจะไปดู Elysium แล้วแต่ไม่มีรอบที่ตรงกับเวลานั้น สุดท้ายตั๋วเลยไปตกที่ Gravity แทน (3D อีกตั้งหาก !!)



     ตัวเนื้อเรื่องคร่าวๆ เล่าถึงทีมนักบินอวกาศที่ไปซ่อมดาวเทียมในอวกาศ ซึ่งจากตัวอย่างก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมที่ศูนย์ควบคุมเตือนทีแรก แต่บอกเฉยๆ แต่พอจะบอกยกเลิกภารกิจดันบอกยกเลิกดื้อๆ ไม่บอกสาเหตุด้วย ซึ่งพระเอกคือตา George Clooney ในบทหัวหน้าชุดปฏิบัติภารกิจ จากที่ลอย Jetpack เล่นรอบๆ ยาน ก็ออกจากโหมดชิลแล้วเข้าโหมดซีเรียสทันที บอกให้ ดร.ไรอัน (Sandra Bullock) รีบๆ เก็บข้าวของแล้วย้ายก้นเข้าไปในยาน หลังจากนั้นไม่นานยาน, ดาวเทียม รวมทั้งคนที่ลองแอ้งแม้งอยู่ข้างนอก ก็โดนซัดตูมด้วยสะเก็ดดาวเทียมเป็นห่าฝนยังกะเจอพวกคลิงก้อน ยกยานมารุมยิงเฟสเซอร์ จนส่งผลให้คนที่ลอยอยู่ข้างนอกทั้งหมดกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง หลังจากนั้นแล้วทุกคนก็ตายกันหมดเหลือแต่ ลุงจอร์จกับป้าซานดร้าพยายามลากๆ จูงๆ กันไปให้ถึงสถานีอวกาศนานาชาติ แต่พอไปถึงแล้วลุงจอร์จก็อยู่ต่อไม่ได้ต้องจากลาแบบพระเอก คือเป็นเรื่องที่แลปกมากที่พระเอกไม่ยอมปล่อยนางเอกไปตอนแรก แต่พอพระเอกบอกให้นางเอกปล่อยตัวเองกลับปล่อยซะดื้อๆ


     พอเข้ามาในสถานีอวกาศแล้วคนดูแทบจะฟินไปตามๆ กันเมื่อ ดร.ไรอัน ถอดชุดอวกาศออก (หรือผมฟินไปคนเดียว) หลังจากนั้นแล้วก็พาทัวร์สถานีอวกาศกันซักรอบใช้แว่น 3D ให้เป็นประโยชน์ (ไฟแทบจะพุ่งเข้าหน้า, หยดน้ำหยดใส่เลนส์กล้อง) พอได้หยุดหายใจพอหอมปากหอมคอก็หนีตายกันอีกรอบ ดร.ไรอัน ก็หนีเข้ายานอวกาศรัสเซียที่ทั้งลำมีแต่ภาษารัสเซียแต่เธอก็ขี่ได้นะครับ แต่ถ้านั่นยังลุ้นไม่พออีกหละก็ ฉากต่อมายานกำลังจะพุ่งหนีกองทัพคลิงก้อนถล่มอีกรอบก็ดันติดร่มชูชีพที่พันถูกเวลาอีก หลังจากนั้น ดร.ไรอันก็ลอยเท้งเต้งไปกับยานโซยุสของรัสเซียหวังจะบินไปชนสถานีอวกาศจีนทางเลือกที่เป็นทางเลือกสุดท้าย แต่พอกำลังจะออกตัวเท่านั้นแหละ หัวเทียนยานอวกาศบอดซะงั้น แล้ว ดร.ไรอัน ก็นั่งสิ้นหวังหมดแรง อยากตายไปจากโลกนี้ประกอบกับมีไอบ้าที่ไหนร้องเพลงกล่อมเด็กลงวิทยุคลื่นสั้น แล้วช่วงนั้นมี Aurora ทำให้คลื่นฟ้ากระจายมาถึงยานอวกาศ จน ดร.ไรอัน ถึงกับสติแตกกะจะฆ่าตัวตาย แต่อยู่ดีๆ ลุงจอร์จก็ฟื้นคืนชีพจากความตาย มาเคาะกระจกยานอวกาศบอกอั้วจะไปด้วย ขยับไปหน่อย ดร.ไรอัน แล้วลุงจอร์จก็ทำให้หนังจบตั้งแต่ 75% ของเรื่องแบบ Deus ex machina ด้วยการบอกว่ายานลื้อหัวเทียนบอด ลื้อก็ใช้ไอพ่นสำรองตอนลงจอดสิ !!


     หลังจากนั้น ดร.ไรอัน ก็สะดุ้งตื่นและรู้ตัวว่าฝันไปนี่หว่า (ผู้กำกับใจดีมากในฉากนี้ ไม่เหมือน After Earth อันนั้นเล่นเอาสะดุ้งสุดตัวเลย) พอได้ Solution ในการสตาร์ทเครื่องเท่านั้น เจ้ก็พุ่งไปสถานีอวกาศจีนอย่างเต็มกำลัง คือตอนมองภาพกว้างตอนแรกตอนไปถึง นึกว่าเจ๊แกจะดึงร่มชูชีพ (แต่ตอนนี้เพิ่งนึกได้ว่าแกทิ้งร่มชูชีพไว้กับสถานีอวกาศนานาชาติแล้วนี่หว่า รู้ตัวอีกที ดร.ไรอัน ลอยเท้งเต้งอยู่ในอวกาศพร้อมกับ Jetpack D.I.Y ทำจากถังดับเพลิง ซึ่งดันเจ๊แกไปจนถึงสถานีอวกาศจีนที่กำลังร่วงลงโหม่งโลกแบบเดียวกับ U.S.S. Enterprise แน่นอนว่า ดร.ไรอัน แกไต่ได้เหมือนสไปเดอร์ แมนจนไปถึงปล่องยานจนเข้าไปในสถานีอวกาศจีนได้ โชว์ให้เห็นว่า "จีนเค้าปลูกข้าวในอวกาศแล้วนะตัวเธอว์" แต่ไม่มีเวลาเดินเล่นกับถอดเสื้อในสถานีมากเพราะจะโหม่งโลกอยู่และสุดท้าย ดร.ไรอัน ก็หาทางไปจนถึงยานอวกาศจีนได้ที่ Made in China แต่ลอกรัสเซียมาเกือบทั้งดุ้น โดยที่ ดร. อ่านคู่มือแบบผ่านๆ ก็ขับได้เลย หลังจากนี้ไม่มีอะไรมากคือ ดร.ไรอัน หาทางเอายานโหม่งโลก ลงที่ไหนซักที่ก็ไม่รู้ พอนึกว่าจะรอดแล้วกู แต่ต้องมาหนีตายยานจมน้ำอีก (คนอะไรจะซวยขนาดนี้) จนต้องกระเสือกกระสนว่ายหนีตายขึ้นมาถึงฝั่งแล้วก็ยืนดูวิวเป็นอันจบ


     ต้องยอมรับจริงๆ ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังอวกาศที่ภาพสวยที่สุดเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ Special Effect จะไม่อภิมหาอลังการเหมือน Star Trek: Into the Darkness แต่ก็ตื่นตาตื่นใจในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงซึ้งก็ไม่รู้จะพูดยังไงนอกจาก "สวยมากกกก" รวมถึงการจำลองกล้องไปอยู่ในชุดอวกาศของ ดร.ไรอัน ตอนกำลังหมุนเคว้งอยู่กลางอวกาศ ยิ่งทำให้อารมณ์ร่วมที่มีเพิ่มมากขึ้นไปอีก รวมถึงการใช้ 3D ให้เป็นประโยชน์ตอนห่าเศษวัตถุอวกาศพุ่งเข้ามาถล่มที่เป็นหนัง 3D เรื่องแรกที่ผมรู้สึกว่ามันพุ่งมาจริงๆ จนผมต้องโยกหลบ เรียกได้ว่าใช้ได้ฉลาดมากๆ ในการสร้างอารมณ์คนดูให้มีส่วนร่วมกับฉาก จุดเด่นจริงๆ ที่ผมชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของเสียงที่ทำให้หลับตาแล้วรู้สึกเสมือนอยู่ในอวกาศจริงๆ ไม่ว่าเสียงลมหายใจหอบในชุดอวกาศ, เสียงวิทยุที่ค่อยๆ เฟดไป เมื่อห่างออกไป จนกระทั่งไม่มีเสียงถ้าไม่มีตัวกลาง ดังที่อธิบายไว้ตอนต้น การแสดงที่ทั้งเรื่องเห็นหน้าตัวละครอยู่ 5 ตัว (ลุงจอร์จ, ดร.ไรอัน, คนในทีมอีกคนที่เป็นศพหน้าทะลุทีหลัง, นักบินกระสวยอีกสองคน) มันรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ลำพังจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อรู้ตัวว่าเหลือกันอยู่แค่ 2 คน และ 1 คนในตอนท้าย


     ถึงแม้แทบจะมีการแสดงอยู่แค่ 2 คนทั้งเรื่อง แต่ทั้งคู่ก็แสดงได้ดีเยี่ยมไม่ว่าลุงจอร์จจะกวนตีนพูดมากแค่ไหนและจริงจังแบบปรับสวิทช์และสร้างอารมณ์ให้คนดูคล้อยตามได้ว่า เห้ยมีเรื่องแล้วนะ หยุด แล้วฟัง ! หรือจะเป็นการแสดงอารมณ์ตอนสติแตกของ ดร.ไรอัน อารมณ์ตื่นตระหนกตอนลอยเท้งเต้งออกไป ก็แสดงความเป็นมืออาชีพของทั้งสองคนให้เห็นอย่างชัดเจน
     เนื้อเรื่องโดยรวมพูดไปหมดแล้วข้างบน ถึงแม้จะเดาคำตอบปลายทางได้อยู่คร่าวๆ แต่อย่างน้อย การต้องเผชิญกับปัญหาหนีตายแบบไม่ทันตั้งตัวเป็นพักๆ และการตั้งคำถามของการมีจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ ก็ทำให้เนื้อเรื่องไม่ถึงกับแย่จนเกินไป อีกทั้งการสอดแทรกให้เห็นว่า อวกาศ ไม่ใช่เรื่องของสหรัฐฯ ประเทศเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสิ่งที่คนหลากหลายชาติพันธ์ในโลกได้พัฒนาขึ้นมาร่วมกันก็เป็นสัญญาณที่ดีของเป้าหมายสุดท้ายของ Concept: One World

คะแนน
ภาพ: 10/10 (ใช้ 3D ได้เป็นประโยชน์มาก)
เสียง: 10/10
เนื้อเรื่อง: 7/10

คหสต: 10/10 (เป็นหนัง 3 มิติที่ดูแล้วคุ้มค่าที่สุดตั้งแต่เคยดูมา)

Comments