Distance

"Now, look, I have done the long distance thing. And it is hard. As hell. And it doesn't matter how good the relationship is, it literally can just rip it apart. Look, it is just very hard to be away from the person you love for months at a time."


     มันยากที่จะบอกว่าผลกระทบโดยตรงที่ได้รับจากน้ำท่วมนั้นมันเป็นยังไงอย่างน้อยก็ในตอนแรก ในสภาวะปกติการอยู่โดยรอคอยวันเปิดเทอมไปวันๆ นั้นก็น่าเบื่ออยู่แล้ว หากแต่สามารถลดทอนความน่าเบื่อได้โดยการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งผมเลือกที่จะอ่านหนังสือรอเรียน ถ้าเบื่อก็ออกไปถ่ายรูป มันช่างดูเรียบง่ายแต่อันที่จริงมันก็แค่อยู่รอไปวันๆ สุดท้ายเมื่อถึงจุดๆนึง สิ่งที่เราเคยเชื่อมาตลอด มันจะมีสภาวะที่ทำให้เปลี่ยนความคิดได้ ความคิดที่เรามั่นใจว่าถูกต้อง แต่ไม่สามารถอธิบายได้ พอถึงจุดนึงเราก็ไม่พอใจกับสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันจะก่อให้เกิดคำถามขึ้นภายใน และขยายตัวคล้ายโรคระบาดเกาะกุมอยู่ในสมองและจิตใจไม่ยอมทิ้งไปไหน เหมือนจะรอให้เกิดคำตอบกับคำถามที่ตั้งเอาไว้ แต่หาไม่มันไม่มีคำอธิบายสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น


     อาจจะสงสัยว่าที่พิมพ์มาย่อหน้าตะกี้มันเกี่ยวอะไรกับข้อความข้างบน ผมอยากบอกว่าสภาวะการว่างเปล่าอย่างที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้เป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆนาๆ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ช่วยได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งๆ สุดท้ายแล้วเราก็จะมาจมกับความคิดที่ว่าเมื่อไหร่วันเวลาเหล่านี้มันจะผ่านพ้นไปสักที แน่นอนว่ามันมีคำตอบสำหรับคำถามนั้น แต่สิ่งที่กัดกินกำลังกายและจิตใจต่างหาก การรอคอยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ยิ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับคำตอบของคำถามข้างต้นแล้ว ยิ่งทำให้ทุกสิ่งยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก


     ข้อความดังกล่าวมาจากภาพยนต์เรื่อง Going the Distance เป็นหนังที่ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่ง สิ่งที่หนังเรื่องนี้พยายามอธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ห่างไกลกัน  หากในสภาวะปกติไม่อาจเข้าใจได้ แต่เวลานี้ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ได้บอกว่ากำลังมีปัญหาแต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างคำถามโดยอัตโนมัติ จริงๆแล้วมันก็อาจเป็นเรื่องธรรมชาติ กับการที่เราจะตั้งคำถามขึ้นเมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ เพียงแต่ว่าคำถามนั้นเราจะทำเป็นไม่สนใจมันก็ไมได้เพราะอย่างที่ผมบอกไว้เราจะจมอยู่กับความคิดนั้นเกือบตลอดเวลา และแม้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันจะช่วยให้เราติดต่อสื่อสารกันง่ายขึ้น แต่ข้อเท็จจริงก็คือมันทดแทนการติดต่อจริงๆแบบกายภาพไม่ได้ ไม่มีเทคโนโลยีใดทดแทนได้ และสิ่งนี้ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นไปอีก 


     เมื่อเกิดคำถามแรกขึ้น ก็จะมีคำถามที่สองและสามตามมา ถึงแม้ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงมันเราก็พยายามหาคำตอบสำหรับคำถามอยู่เสมอ คำถามหลังๆมักจะตอบยากกว่าคำถามแรกๆ แต่ถึงแม้เราจะหาคำตอบได้มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เรายังคงอยู่ที่นี่ จมอยู่กับความคิด สิ่งที่บั่นทอนกำลังใจเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลแค่จิตใจ แต่ทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายตามมาเราไม่รู้หรอกว่าจิตใจเรามีผลยังไงต่อร่างกายเมื่อเวลาปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจะอธิบายตัวมันเอง


     มีคนเคยถามผมว่าการเขียนมันสนุกยังไง แน่นอนว่าผมหาคำตอบที่สวยหรูตอบไปสำหรับคำถามนั้นแล้ว แต่ ณ เวลาที่สภาพอารมณ์เป็นแบบนี้ ผมบอกได้เลยว่าการเขียนทำให้เราได้ระบายบางสิ่ง บางสิ่งที่เราไม่สามารถระบายได้ ทำให้มันออกมาเป็นข้อความที่ถูกเรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ และช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แม้มันจะยังลบความรู้สึกนั้นที่มีไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดแรงกดดันที่เกิดขึ้นไปได้มากทีเดียว


ปล.โพสนี้เขียนขึ้นด้วยอารมณ์ล้วนๆ หากอ่านไม่รู้เรื่องหรือไม่เข้าใจย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

Comments